เมืองกุสุมาลย์มณฑล
เมืองกุสุมาลย์มณฑล
วันที่ ๑๓ มกราคม เวลาย่ำรุ่ง ออกจากกุดคุรุทางขึ้นเนินป่าไม้เต็งไปตามทางสายโทรศัพท์ ถึงห้วยหินสะแนนเวลา ๒ โมงเช้า ๑๕ นาที ระยะทาง ๔๑๐ เส้น มีราษฎรมาคอยรับ ผู้ใหญ่บ้านผู้หนึ่งดักได้นกอินทรีคู่หนึ่งมาให้ ในหมู่ราษฎรมีคนไทยโย้ยคนหนึ่งแต่งตัวอย่างคนพื้นเมือง ว่ามาจากเมืองอากาศอำนวย กับมีพวกกะโซ้ซึ่งจะได้พบต่อไปมาด้วย เวลาเช้า ๓ โมง ๔๐ นาทีออกจากห้วยหินสะแนนขึ้นโคกไม้เต็งรังต่อไป เข้าเขตเมืองโพธิไพศาลซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อย่างตำบลกำนันแห่งหนึ่ง แต่ทางที่มานี้ไม่ได้ผ่านบ้านผู้คน แล้วข้ามห้วยทวยเขต เมืองโพธิไพศาล กับเมืองกุสุมาลย์มณฑลต่อกัน เวลาเช้า ๔ โมง ๔๐ นาทีถึงที่พักแรม ณ เมืองกุสุมาลย์มณฑล ระยะทาง ๒๖๐ เส้น รวมระยะทางวันนี้ ๖๗๐ เส้น พระอรัญอาสา ผู้ว่าราชการเมืองกุสุมาลย์ กับกรมการกำนันผู้ใหญ่บ้านและราษฎรชายหญิงมารับเป็นอันมาก ชาวเมืองนี้เป็นข่าที่เรียกว่ากะโซ้ เดิมมาจากเมืองมหาไชยกองแก้ว ผู้หญิงไว้ผมสูงแต่งตัวนุ่งซิ่นสวมเสื้อกระบอก ย้อมคราม ห่มผ้าแถบ ผู้ชายแต่งตัวอย่างคนชาวเมือง แต่เดิมว่านุ่งผ้าขัดเตี่ยวไว้ชายข้างหน้าชายหนึ่ง ข้างหลังชายหนึ่ง มีภาษาที่พูดคล้ายสำเนียงมอญ แล้วพวกผู้ชายก็มีการเล่น เรียกว่าสะลา คือมีหม้อถุตั้งกลาง แล้วคนต้นบทคนหนึ่ง คนสะพายหน้าไม้และลูกสำหรับยิงคนหนึ่ง คนตีฆ้องซึ่งเรียกว่าพะเนาะคนหนึ่ง คนถือไม้ไผ่ท่อนสามปล้องสำหรับกระทุ้งดินเป็นจังหวะสองคน คนถือชามสองมือสำหรับติดเทียนรำคนหนึ่ง คนถือก้นตะแกรงขาดสองมือสำหรับรำคนหนึ่ง แล้วคนถือมีดถือสิ่วหักสำหรับเคาะจังหวะคนหนึ่ง รวม ๘ คนเดินร้องรำเป็นวงเวียนไปมาพอได้พักหนึ่งก็ดื่มอุและร้องรำต่อไป ดูสนุกกันเองไม่ใคร่อยากเลิก เวลาเลิกแล้วก็ยังฟ้อนกันเรื่อยตลอดทางไป พวกข่ากะโซ้นี้กินอาหารไม่ใคร่เลือก มีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อกรมหลวงประจักษ์ฯ เป็นข้าหลวง พระอรัญอาสา ผู้ว่าราชการเมืองกุสุมาลย์คนนี้เฝ้าฯ รับสั่งไต่ถามถึงขนบธรรมเนียมของพวกข่ากะโซ้ ไล่เลียงกันไปจนถึงอาหารที่ชอบบริโภค พระอรัญ อาสาทูลว่า “ชอบเจียะจอ” (คือชอบบริโภคเนื้อสุนัข) ไม่ทรงเชื่อพระอรัญอาสารับจะบริโภคถวายทอดพระเนตร จึงให้ไปหาเนื้อ “จอ” มาเลี้ยง นัยว่า เมื่อพระอรัญอาสาบริโภคเนื้อจอนั้น พวกข้างในตำหนัก ดูอยู่ไม่ได้ ถึงต้องวิ่งหนี เล่ากันดังนี้ เวลาบ่าย ๔ โมงไปที่วัดกลาง มีพระ ๔ รูป เณร ๓ รูป วัดในมณฑลนี้มักมีที่พระอยู่กรรม เรียกว่า “พลวง” เป็นประทุนเล็กๆ พื้นฟากเฉพาะนอนคนเดียวเหมือนอย่างประทุนเกวียน มีวัดละหลายๆหลัง มักทำรายไปรอบโบสถ์ เวลาเข้าพรรษาพระภิกษุไปอยู่กรรม เขา ว่ามักมีคนศรัทธาไปปฏิบัติถือกันว่าได้บุญมากแล้วไปดูหมู่บ้านราษฎรจนถึงทุ่งนาริมห้วยเสอเพลอ เมืองกุสุมาลย์มณฑลนี้ เดิมเรียกว่าบ้านกุดมารยกขึ้นเป็นเมืองขึ้นเมืองสกลนคร เห็นจะเป็นเมื่อรัชกาลที่ ๔ ราษฎรชาวเมืองมีจำนวน ๒๑๗๑ คน เลี้ยงโคกระบือและสุกร เป็ด ไก่ ถึงได้ขายแก่คนเดินทางบ้าง กับทำนาและข้าวไร่พอเลี้ยงกันเอง