หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ชาติพันธุ์ไทโย้ย หรือ โย้ย

เนื้อหาโดย tonporkung

ชาติพันธุ์ไทโย้ย หรือ โย้ย
กลุ่มชาติพันธุ์โย้ยจัดอยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได ในประเทศไทยอาศัยอยู่หนาแน่นในเขตพื้นที่อำเภออากาศอำนวย อำเภอวานรนิวาส อำเภอพังโคน(บ้านอุ่มเหม้า) อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
ชาวไทโย้ยรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น พิธีไหลฮ้านบูชาไฟ การละเล่นโย้ยกลองเลง เป็นต้น
ภาษาของชาวโย้ยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีสำเนียงพูดทอดเสียงยาว ๆ และออกเสียงหนักทุกพยางค์ มีสำเนียงเยิ้น(ช้า)ที่สุดกว่าชาติพันธุ์อื่น จนในอดีตได้มีการพูดเชิงล้อเลียนภาษาโย้ย ภาษาโย้ยมีความไพเราะน่าฟัง คำพูดบางคำ ไม่สามารถเขียนผันวรรณยุกต์ได้ เอกลักษณ์ของชาวโย้ย คือ มีสร้อยคำว่า “ ฮ่อ ”หรือ "เฮาะ" ท้ายประโยค
#ตัวอย่างภาษาโย้ย
กิ๋นเข่าแล่วเฮาะ =กินข้าวหรือยัง
ไปนำกันหยู่เฮาะ =ไปด้วยกันไหม
แม่นเฮาะ =ใช่หรือไม่
ปัจจุบันชาวโย้ยที่เป็นกลุ่มของคนรุ่นหลัง เยาวชนจะพูดสำเนียงที่เร็วขึ้น
ได้มีการกล่าวถึงชาวไทโย้ย ในพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการมณฑลอุดร ปีพ.ศ.2449 ว่า
"พวกโย้ย อยู่ที่เมืองอากาศอำนวยขึ้นเมืองสกลนคร ถามไม่ได้ความว่าถิ่นเดิมอยู่ที่ไหน"

#ประวัติชาวไทโย้ย
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ชาวไทโย้ยบ้านหอมท้าวอพยพข้ามแม่น้ำโขงแสวงหาพื้นที่ทำมาหากิน อาศัยอยู่ที่แม่น้ำสงคราม และต่อมาเคลื่อนมาที่แม่น้ำยาม แล้วมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่เรียกว่าบ้านม่วงฮิมยาม (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภออากาศอำนวย) อีกส่วนหนึ่งได้อพยพเคลื่อนต่อไปทางทิศตะวันตกเข้าไปอยู่ในท้องที่อำเภอวานรนิวาสในปัจจุบัน

ไทโย้ยเข้ามาอาศัยในบ้านม่วงฮิมยาม เป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำยามตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดสกลนครและจังหวัดนครพนม บริเวณนี้เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก อาศัยแม่น้ำยามซึ่งติดต่อกับแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางการคมนาคม จึงทำให้มีราษฎรจากที่อื่นอพยพสมทบเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมากขึ้น

ถึง พ.ศ. 2369 ต้นแผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ทำศึกกับราชอาณาจักรสยาม กวาดต้อนครัวลาวฝั่งขวาแม่น้ำโขงข้ามกับไปยังฝั่งซ้าย ไทโย้ยบ้านม่วงริมยามอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำโขงมากนักถูกกวาดต้อนข้ามแม่น้ำโขงไปด้วย เช่นเดียวกับไทย้อเมืองไชยบุรี ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากน้ำสงคราม

เมื่อสงครามสงบ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์พ่ายแพ้ และสิ้นชีวิตที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2380 ท้าวเพียติวซอย (กองจดหมายเหตุแห่งชาติ จดหมายเหตุ ณ. 4 สารตราตั้งเมืองนครพนม เรื่องตั้งเมืองอากาศอำนวย จ.ศ.1215 (พ.ศ. 2396) เลขที่ 31) ท้าวศรีสุราช ท้าวจันทนาม ท้าวนามโคตร ได้นำไพร่พลไทโย้ยเมืองหอมท้าวกลุ่มนี้ จำนวนมากถึง 2,339 คน อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งบ้านเรือนทำมาหากิน ในจำนวนนั้นมีท้าวเพีย ได้อพยพไปอยู่ฝั่งโขงและไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ ท้าวเพียรู้สึกถึงความผิดของตน จึงได้อพยพครอบครัวกลับมาบ้านม่วงริม
ยามอย่างเดิม การตั้งหลักแหล่งที่บริเวณบ้านม่วงริมยามนี้ถือว่าอยู่ในเขตแดนเมืองสกลนคร
ตามข้อความในสารตราตั้งเมืองสกลนคร พ.ศ. 2380 ตอนหนึ่งกล่าวว่า
“....ได้จัดแจงแบ่งปันเขตแดนเมืองสกลนคร ข้างตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่บ้านนามน บ้านกุดสะมาลย์ บ่อสระอือ บ้านบาตรตัด ไปริมฝั่งอูนข้างเหนือ ตั้งแต่ปากน้ำยามข้างเหนือไป บ้านพระหัวพันนา ขึ้นไปปลายน้ำห้วยสงครามข้างใต้ เป็นเขตแดนเมืองสกลนคร ....”


หลังจากนั้นไม่นาน มีกลุ่มไทโย้ยที่ไม่ยอมสมัครใจอยู่กับพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร จึงร้องไปยังพระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองยศสุนทร(ยโสธร) พระสุนทรราชวงศาจึงได้พาท้าวศรีสุราช ท้าวจันทนาม ท้าวนามโคตร ครอบครัวท้าวติวซอย บ้านหอมท้าวลงไปกรุงเทพฯรับน้ำพิพัฒน์สัจจาและแจ้งความมายังลูกขุนศาลาในกรุงเทพ ฯ ว่าท้าวสีสุราชและท้าวเพียทั้งปวงสมัครมาทำราชการขึ้นกับเมืองนครพนม พระสุนทรราชวงศาได้ร้องขอชำระเอาครอบครัวพวกท้าวเพียติวซอย ท้าวศรีสุราช ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านม่วงริมยาม ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน เมืองสกลนครต่อกับเมืองนครพนม จำนวนผู้คนพระสงฆ์ สามเณร คนชรา คนพิการ 109 คน ท้าวเพีย 109 คน ชายฉกรรจ์ 240 คน รวมทั้งหญิงชายใหญ่น้อยจำนวน 2,339 คน ขอยกบ้านม่วงริมยามเป็นเมือง ขอท้าวศรีสุราชเป็นเจ้าเมือง ท้าวจันทนามเป็นราชวงศ์ ท้าวนามโคตรเป็นราชบุตร



พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านม่วงเป็นเมืองอากาศอำนวย และพระราชทานให้ท้าวศรีสุราชเป็นหลวงพลานุกูล ท้าวจันทนามเป็นราชวงศ์ ท้าวนามโคตรเป็นวรบุตร พร้อมทั้งเครื่องยศตามตำแหน่ง โปรดเกล้าฯให้มีสารถึงเมืองหนองหาร เมืองสกลนคร เมืองไชยบุรี ให้แบ่งเขตแดนให้เมืองอากาศอำนวย แล้วให้มีใบบอกรายงานไปยังกรุงเทพฯ


ปัญหาการแยกไพร่พลไม่ขึ้นต่อเมืองสกลนคร นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เมืองสกลนครเสียผลประโยชน์จากรายได้แรงงานและเงินส่วย อาจก่อปัญหากระทบกระทั่งเขตแดนขึ้นได้ เจ้าพระยาสมุหนายก จึงได้มีสารตราถึงพระยาประจันตประเทศธานีเจ้าเมืองสกลนคร ตลอดจนอุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ขออย่าให้อาลัยอาวรณ์ในเขตแขวง ซึ่งต้องแบ่งปันเลย และขอให้ช่วยทำนุบำรุงหลวงพลานุกูลอย่างที่เคยเป็นมา



ถ้าพิจารณาข้อมูลแล้วจะเห็นได้ว่าเมืองอากาศอำนวย ในช่วงแรกที่ตั้งบ้านม่วงลำน้ำยามขึ้นเป็นเมือง คงมีการยื้อแย่งผู้คนกันระหว่างเจ้าเมืองนครพนมและเจ้าเมืองสกลนคร โดยมีข้ออ้างคือความต้องการขอท้าวเพียไพร่พลเป็นสำคัญ ส่วนเหตุผลในการขอตั้งบ้านเมืองนั้น เจ้าเมืองผู้ขอพระราชทานตั้งเมืองจะรายงานว่ามีผู้คนจำนวนมาก พื้นที่ตั้งเมืองมีทำเลกว้างขวางมีที่นาทำมาหากินบริบูรณ์ ไม่อยู่ใกล้ชิดเขตแดนเมืองหนึ่งเมืองใดมากเกินไป โดยเฉพาะบ้านม่วงริมยามนั้นเหมาะที่จะตั้งเมือง เพราะตั้งอยู่ระหว่าง 3 เมือง ระยะทางไม่ห่างจากกันมากนัก คือไปเมืองไชยบุรีทาง 3 คืน จะไปเมืองท่าอุเทน 3 คืน และจะมาเมืองนครพนม 4 คืน


ถึง พ.ศ.2400 จารย์คำกรมการเมืองสกลนคร พาสมัครพรรคพวกไทโย้ยและครอบครัวไปตั้งอยู่ที่บ้านกุดลิง ร้องขอทำราชการขึ้นกับเมืองยศสุนทร พระสุนทรราชวงศาจึงมีใบบอกเข้าไปทูลเกล้าฯ ก็โปรดให้ยกบ้านกุดลิงขึ้นเป็นเมือง รัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านกุดลิงของชาวโย้ยให้เป็นเมืองน้องของเมืองสกลนคร โดยมีชื่อคล้องจองกันว่า เมืองวานรนิวาส เมื่อวันจันทร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ปีระกา ตรีศก จ.ศ. 1223 ตรงกับวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2404 และทรงตั้งท้าวจันโสมเป็นหลวงประชาราษฎร์รักษา (ฉิม ศรีถาพร) เป็นเจ้าเมืองคนแรก



ในปี พ.ศ.2402 ทางกรุงเทพ ฯ มีใบบอกให้หัวเมืองลาวตะวันออก ส่งส่วยกระบือแทนผลเร่ว เมืองอากาศอำนวยส่งส่วยกระบือ 35 ตัวในรัชกาลที่ 5 เหตุการณ์เมืองญวนไม่สงบ พวกญวนเข้ามาสร้างความเดือดร้อนอยู่เนืองๆ จึงแต่งตั้งข้าราชการดูแลเมืองต่าง ๆ ป้องกันรักษาด่านไม่ให้ญวนเข้ามา เช่น ให้ราชบุตร (เหม่น) เป็นพระภูวดลบริรักษ์ ยกบ้านโพนสว่างหาดยาวเป็นเมืองภูวดลสอางอยู่ฟากโขงฝั่งซ้ายริมแม่น้ำเซบั้งไฟ ขึ้นกับเมืองสกลนคร และแต่งตั้งให้ท้าวเทพกัลยาหัวหน้ากองไทโย้ยเป็นพระสิทธิศักดิ์ประสิทธิ์เจ้าเมือง ยกบ้านโพนสว่างหาดยาวริมน้ำปลาหางเป็นเมืองสว่างแดนดินขึ้นกับเมืองสกลนคร



ต่อมาในปี พ.ศ. 2415 พระยาประเทศธานีเจ้าเมืองสกลนคร มีใบบอกขอแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าราชการ ด้วยเหตุที่เมืองสกลนครมีเมืองขึ้นถึง 6 เมือง ราชการมีมากขอให้ท้าวโง่นคำ บุตรราชวงศ์ (อิน) คนเก่ารับราชการตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองอีกตำแหน่งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ท้าวโง่นคำเป็นพระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร

และต่อมาในปี พ.ศ. 2458 ได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองใหม่ เสด็จในกรมสมุหมณฑลเทศาภิบาลมณฑลอุดรธานี ได้มาตรวจราชการที่อำเภออากาศอำนวย เห็นว่าการคมนาคมและการติดต่อไปมากับจังหวัดนครพนมไม่สะดวก เพราะอำเภออากาศอำนวยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดมาก ทรงขอเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองใหม่ ยุบอำเภออากาศอำนวยเป็นตำบลอากาศ แล้วขึ้นต่อการปกครองของอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

ต่อมาตำบลอากาศมีชุมชนหนาแน่นขึ้นในช่วงปากน้ำสงคราม และมีความพยายามที่จะตั้งเป็นอำเภอหรือกิ่งอำเภอ ได้มีการรวบรวมผู้คนจาก 7 ตำบล คือ บ้านแพง บ้านแวง นาทม บ้านข่า บ้านเดื่อ บ้านนาหว้า และบ้านสามผง ขอตั้งเป็นกิ่งอำเภอขึ้นที่บ้านสามผง โดยใช้ชื่อว่ากิ่งอำเภออากาศอำนวย ในปี พ.ศ. 2469 แต่กิ่งอำเภอแห่งนี้มีปัญหาน้ำท่วมที่ว่าการกิ่งอำเภอในฤดูน้ำหลาก ทางราชการจึงหาสถานที่ตั้งกิ่งอำเภออากาศอำนวยแห่งใหม่ที่บ้านเวินชัย ซึ่งอยู่ใกล้ ลำน้ำสงคราม แต่มีปัญหาเช่นเดียวกันกับที่บ้านสามผง ในที่สุดก็ย้ายมาตั้งกิ่งอำเภอที่บ้านท่าบ่อ ซึ่งอยู่ปากน้ำสงครามบรรจบลำน้ำยาม

ในบริเวณแห่งนี้แม้ว่าจะอุดมสมบูรณ์ด้วยปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ แต่ปัญหาน้ำท่วมบริเวณที่ทำการสำคัญๆ ของรัฐบาลในฤดูน้ำหลาก ทำให้ไม่สะดวกในการติดต่อราชการของราษฎร จึงได้มีการยุบกิ่งอำเภออากาศอำนวยที่บ้านท่าบ่อ และตั้งกิ่งอำเภอแห่งใหม่ขึ้นที่บ้านศรีสงคราม ไม่ห่างจากบ้านท่าบ่อมากนัก ใน พ.ศ. 2496 คือกิ่งอำเภอศรีสงคราม

หลังจากนั้นมาอีก 10 ปี ในปี พ.ศ.2506 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจราชการที่ภาคอีสาน เห็นว่าราษฎรในเขต 4 ตำบล คือ ตำบลวาใหญ่ ตำบลอากาศ ตำบลโพนแพง ตำบลโพนงาม อยู่ห่างไกลจากอำเภอวานรนิวาส การติดต่อกับอำเภอไม่สะดวก ประกอบกับมีปัญหาผู้ก่อการร้ายแทรกซึม จึงให้ยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภออากาศอำนวย ขึ้นกับอำเภอวานรนิวาส เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 จึงได้รับการยกขึ้นเป็นอำเภออากาศอำนวย

เนื้อหาโดย: tonporkung
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
tonporkung's profile


โพสท์โดย: tonporkung
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: challen
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
'สีดอโฮป' ช้างที่ถูกขังเดี่ยวให้เผชิญน้ำท่วมลำพัง!เสน่ห์ของคุณคืออะไร? บ่งบอกได้จากหมายเลขบัตรประชาชนตัวสุดท้ายของคุณ BY หมอกิฟท์นางมารพยากรณ์คู่รักแต่งงาน 10 ปี พร้อมลูกสามคน ผลตรวจ DNA ทำภรรยาช็อกถึงขั้นจะอ้วก!"ชิน - ลิลลี่" ช็อกไปเกือบ 1 เดือน หลังเจอพฤติกรรมสุดโฉดผู้จัดการส่วนตัว‘กันต์ กันตถาวร’ เคลื่อนไหวแล้ว ชาวเน็ตแห่ถล่มไลก์ หลังเห็นโพสต์นี้ย้อนดูบ้าน บอสพอล ในสลัมคลองเตย กว่าจะมาเป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ส่งสารอวยพรวันเกิดถึงประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินช้าง 'หนูนา' ย้ายจาก 'คุณเล็ก' แล้ว 1 เชือกอดีต ND มิสแกรนด์กัมพูชา ด่า หลิน มาลิน มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2024 โง่! สร้างกระแสดราม่าในวงการนางงามมิสแกรนด์คอสตาริกา “มากาเรนา แชมเบอร์เลน” ถอนตัวจาก Miss Grand International 2024 หลังเหตุวุ่นวายในกัมพูชาอีลอน มัสก์เผยความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการพบเห็น UFO ในมะกัน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สาวงาม Miss Grand International 2024 เยี่ยมชมวัดอรุณ นักท่องเที่ยว แห่ขอถ่ายภาพคึกคักย้อนดูบ้าน บอสพอล ในสลัมคลองเตย กว่าจะมาเป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านระอุ มิสแกรนด์ หนีด่วนจากเขมร บอสทนไม่ไหว หอบนางงามกลับไทยด่วนฮิซบอลเลาะห์ชักธงขาว ประกาศหนุนข้อตกลงหยุดยิงในเลบานอนเอาแล้วๆ เอาแล้ว ผู้เสียหายรวมตัวกันแล้ว ใครเสียหายจากบริษัทดาราดัง ต้องเข้ามาที่นี่
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ความรัก ไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์แบบ!control: ควบคุมทำไม 1 ปีถึงมี 365 วันแต่บางปีมี 366 วัน?prepare: เตรียมพร้อม เตรียมตัว
ตั้งกระทู้ใหม่