ชาติพันธุ์ไทโย้ย หรือ โย้ย
ชาติพันธุ์ไทโย้ย หรือ โย้ย
กลุ่มชาติพันธุ์โย้ยจัดอยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได ในประเทศไทยอาศัยอยู่หนาแน่นในเขตพื้นที่อำเภออากาศอำนวย อำเภอวานรนิวาส อำเภอพังโคน(บ้านอุ่มเหม้า) อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
ชาวไทโย้ยรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น พิธีไหลฮ้านบูชาไฟ การละเล่นโย้ยกลองเลง เป็นต้น
ภาษาของชาวโย้ยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีสำเนียงพูดทอดเสียงยาว ๆ และออกเสียงหนักทุกพยางค์ มีสำเนียงเยิ้น(ช้า)ที่สุดกว่าชาติพันธุ์อื่น จนในอดีตได้มีการพูดเชิงล้อเลียนภาษาโย้ย ภาษาโย้ยมีความไพเราะน่าฟัง คำพูดบางคำ ไม่สามารถเขียนผันวรรณยุกต์ได้ เอกลักษณ์ของชาวโย้ย คือ มีสร้อยคำว่า “ ฮ่อ ”หรือ "เฮาะ" ท้ายประโยค
#ตัวอย่างภาษาโย้ย
กิ๋นเข่าแล่วเฮาะ =กินข้าวหรือยัง
ไปนำกันหยู่เฮาะ =ไปด้วยกันไหม
แม่นเฮาะ =ใช่หรือไม่
ปัจจุบันชาวโย้ยที่เป็นกลุ่มของคนรุ่นหลัง เยาวชนจะพูดสำเนียงที่เร็วขึ้น
ได้มีการกล่าวถึงชาวไทโย้ย ในพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการมณฑลอุดร ปีพ.ศ.2449 ว่า
"พวกโย้ย อยู่ที่เมืองอากาศอำนวยขึ้นเมืองสกลนคร ถามไม่ได้ความว่าถิ่นเดิมอยู่ที่ไหน"
#ประวัติชาวไทโย้ย
ในสมัยรัชกาลที่ 2 ชาวไทโย้ยบ้านหอมท้าวอพยพข้ามแม่น้ำโขงแสวงหาพื้นที่ทำมาหากิน อาศัยอยู่ที่แม่น้ำสงคราม และต่อมาเคลื่อนมาที่แม่น้ำยาม แล้วมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่เรียกว่าบ้านม่วงฮิมยาม (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภออากาศอำนวย) อีกส่วนหนึ่งได้อพยพเคลื่อนต่อไปทางทิศตะวันตกเข้าไปอยู่ในท้องที่อำเภอวานรนิวาสในปัจจุบัน
ไทโย้ยเข้ามาอาศัยในบ้านม่วงฮิมยาม เป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำยามตั้งอยู่ระหว่างเขตจังหวัดสกลนครและจังหวัดนครพนม บริเวณนี้เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก อาศัยแม่น้ำยามซึ่งติดต่อกับแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางการคมนาคม จึงทำให้มีราษฎรจากที่อื่นอพยพสมทบเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมากขึ้น
ถึง พ.ศ. 2369 ต้นแผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ทำศึกกับราชอาณาจักรสยาม กวาดต้อนครัวลาวฝั่งขวาแม่น้ำโขงข้ามกับไปยังฝั่งซ้าย ไทโย้ยบ้านม่วงริมยามอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำโขงมากนักถูกกวาดต้อนข้ามแม่น้ำโขงไปด้วย เช่นเดียวกับไทย้อเมืองไชยบุรี ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากน้ำสงคราม
เมื่อสงครามสงบ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์พ่ายแพ้ และสิ้นชีวิตที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2380 ท้าวเพียติวซอย (กองจดหมายเหตุแห่งชาติ จดหมายเหตุ ณ. 4 สารตราตั้งเมืองนครพนม เรื่องตั้งเมืองอากาศอำนวย จ.ศ.1215 (พ.ศ. 2396) เลขที่ 31) ท้าวศรีสุราช ท้าวจันทนาม ท้าวนามโคตร ได้นำไพร่พลไทโย้ยเมืองหอมท้าวกลุ่มนี้ จำนวนมากถึง 2,339 คน อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งบ้านเรือนทำมาหากิน ในจำนวนนั้นมีท้าวเพีย ได้อพยพไปอยู่ฝั่งโขงและไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ ท้าวเพียรู้สึกถึงความผิดของตน จึงได้อพยพครอบครัวกลับมาบ้านม่วงริม
ยามอย่างเดิม การตั้งหลักแหล่งที่บริเวณบ้านม่วงริมยามนี้ถือว่าอยู่ในเขตแดนเมืองสกลนคร
ตามข้อความในสารตราตั้งเมืองสกลนคร พ.ศ. 2380 ตอนหนึ่งกล่าวว่า
“....ได้จัดแจงแบ่งปันเขตแดนเมืองสกลนคร ข้างตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่บ้านนามน บ้านกุดสะมาลย์ บ่อสระอือ บ้านบาตรตัด ไปริมฝั่งอูนข้างเหนือ ตั้งแต่ปากน้ำยามข้างเหนือไป บ้านพระหัวพันนา ขึ้นไปปลายน้ำห้วยสงครามข้างใต้ เป็นเขตแดนเมืองสกลนคร ....”
หลังจากนั้นไม่นาน มีกลุ่มไทโย้ยที่ไม่ยอมสมัครใจอยู่กับพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนคร จึงร้องไปยังพระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองยศสุนทร(ยโสธร) พระสุนทรราชวงศาจึงได้พาท้าวศรีสุราช ท้าวจันทนาม ท้าวนามโคตร ครอบครัวท้าวติวซอย บ้านหอมท้าวลงไปกรุงเทพฯรับน้ำพิพัฒน์สัจจาและแจ้งความมายังลูกขุนศาลาในกรุงเทพ ฯ ว่าท้าวสีสุราชและท้าวเพียทั้งปวงสมัครมาทำราชการขึ้นกับเมืองนครพนม พระสุนทรราชวงศาได้ร้องขอชำระเอาครอบครัวพวกท้าวเพียติวซอย ท้าวศรีสุราช ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านม่วงริมยาม ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน เมืองสกลนครต่อกับเมืองนครพนม จำนวนผู้คนพระสงฆ์ สามเณร คนชรา คนพิการ 109 คน ท้าวเพีย 109 คน ชายฉกรรจ์ 240 คน รวมทั้งหญิงชายใหญ่น้อยจำนวน 2,339 คน ขอยกบ้านม่วงริมยามเป็นเมือง ขอท้าวศรีสุราชเป็นเจ้าเมือง ท้าวจันทนามเป็นราชวงศ์ ท้าวนามโคตรเป็นราชบุตร
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านม่วงเป็นเมืองอากาศอำนวย และพระราชทานให้ท้าวศรีสุราชเป็นหลวงพลานุกูล ท้าวจันทนามเป็นราชวงศ์ ท้าวนามโคตรเป็นวรบุตร พร้อมทั้งเครื่องยศตามตำแหน่ง โปรดเกล้าฯให้มีสารถึงเมืองหนองหาร เมืองสกลนคร เมืองไชยบุรี ให้แบ่งเขตแดนให้เมืองอากาศอำนวย แล้วให้มีใบบอกรายงานไปยังกรุงเทพฯ
ปัญหาการแยกไพร่พลไม่ขึ้นต่อเมืองสกลนคร นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เมืองสกลนครเสียผลประโยชน์จากรายได้แรงงานและเงินส่วย อาจก่อปัญหากระทบกระทั่งเขตแดนขึ้นได้ เจ้าพระยาสมุหนายก จึงได้มีสารตราถึงพระยาประจันตประเทศธานีเจ้าเมืองสกลนคร ตลอดจนอุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ขออย่าให้อาลัยอาวรณ์ในเขตแขวง ซึ่งต้องแบ่งปันเลย และขอให้ช่วยทำนุบำรุงหลวงพลานุกูลอย่างที่เคยเป็นมา
ถ้าพิจารณาข้อมูลแล้วจะเห็นได้ว่าเมืองอากาศอำนวย ในช่วงแรกที่ตั้งบ้านม่วงลำน้ำยามขึ้นเป็นเมือง คงมีการยื้อแย่งผู้คนกันระหว่างเจ้าเมืองนครพนมและเจ้าเมืองสกลนคร โดยมีข้ออ้างคือความต้องการขอท้าวเพียไพร่พลเป็นสำคัญ ส่วนเหตุผลในการขอตั้งบ้านเมืองนั้น เจ้าเมืองผู้ขอพระราชทานตั้งเมืองจะรายงานว่ามีผู้คนจำนวนมาก พื้นที่ตั้งเมืองมีทำเลกว้างขวางมีที่นาทำมาหากินบริบูรณ์ ไม่อยู่ใกล้ชิดเขตแดนเมืองหนึ่งเมืองใดมากเกินไป โดยเฉพาะบ้านม่วงริมยามนั้นเหมาะที่จะตั้งเมือง เพราะตั้งอยู่ระหว่าง 3 เมือง ระยะทางไม่ห่างจากกันมากนัก คือไปเมืองไชยบุรีทาง 3 คืน จะไปเมืองท่าอุเทน 3 คืน และจะมาเมืองนครพนม 4 คืน
ถึง พ.ศ.2400 จารย์คำกรมการเมืองสกลนคร พาสมัครพรรคพวกไทโย้ยและครอบครัวไปตั้งอยู่ที่บ้านกุดลิง ร้องขอทำราชการขึ้นกับเมืองยศสุนทร พระสุนทรราชวงศาจึงมีใบบอกเข้าไปทูลเกล้าฯ ก็โปรดให้ยกบ้านกุดลิงขึ้นเป็นเมือง รัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านกุดลิงของชาวโย้ยให้เป็นเมืองน้องของเมืองสกลนคร โดยมีชื่อคล้องจองกันว่า เมืองวานรนิวาส เมื่อวันจันทร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ปีระกา ตรีศก จ.ศ. 1223 ตรงกับวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2404 และทรงตั้งท้าวจันโสมเป็นหลวงประชาราษฎร์รักษา (ฉิม ศรีถาพร) เป็นเจ้าเมืองคนแรก
ในปี พ.ศ.2402 ทางกรุงเทพ ฯ มีใบบอกให้หัวเมืองลาวตะวันออก ส่งส่วยกระบือแทนผลเร่ว เมืองอากาศอำนวยส่งส่วยกระบือ 35 ตัวในรัชกาลที่ 5 เหตุการณ์เมืองญวนไม่สงบ พวกญวนเข้ามาสร้างความเดือดร้อนอยู่เนืองๆ จึงแต่งตั้งข้าราชการดูแลเมืองต่าง ๆ ป้องกันรักษาด่านไม่ให้ญวนเข้ามา เช่น ให้ราชบุตร (เหม่น) เป็นพระภูวดลบริรักษ์ ยกบ้านโพนสว่างหาดยาวเป็นเมืองภูวดลสอางอยู่ฟากโขงฝั่งซ้ายริมแม่น้ำเซบั้งไฟ ขึ้นกับเมืองสกลนคร และแต่งตั้งให้ท้าวเทพกัลยาหัวหน้ากองไทโย้ยเป็นพระสิทธิศักดิ์ประสิทธิ์เจ้าเมือง ยกบ้านโพนสว่างหาดยาวริมน้ำปลาหางเป็นเมืองสว่างแดนดินขึ้นกับเมืองสกลนคร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2415 พระยาประเทศธานีเจ้าเมืองสกลนคร มีใบบอกขอแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าราชการ ด้วยเหตุที่เมืองสกลนครมีเมืองขึ้นถึง 6 เมือง ราชการมีมากขอให้ท้าวโง่นคำ บุตรราชวงศ์ (อิน) คนเก่ารับราชการตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองอีกตำแหน่งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ท้าวโง่นคำเป็นพระศรีสกุลวงศ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสกลนคร
และต่อมาในปี พ.ศ. 2458 ได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองใหม่ เสด็จในกรมสมุหมณฑลเทศาภิบาลมณฑลอุดรธานี ได้มาตรวจราชการที่อำเภออากาศอำนวย เห็นว่าการคมนาคมและการติดต่อไปมากับจังหวัดนครพนมไม่สะดวก เพราะอำเภออากาศอำนวยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดมาก ทรงขอเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองใหม่ ยุบอำเภออากาศอำนวยเป็นตำบลอากาศ แล้วขึ้นต่อการปกครองของอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร
ต่อมาตำบลอากาศมีชุมชนหนาแน่นขึ้นในช่วงปากน้ำสงคราม และมีความพยายามที่จะตั้งเป็นอำเภอหรือกิ่งอำเภอ ได้มีการรวบรวมผู้คนจาก 7 ตำบล คือ บ้านแพง บ้านแวง นาทม บ้านข่า บ้านเดื่อ บ้านนาหว้า และบ้านสามผง ขอตั้งเป็นกิ่งอำเภอขึ้นที่บ้านสามผง โดยใช้ชื่อว่ากิ่งอำเภออากาศอำนวย ในปี พ.ศ. 2469 แต่กิ่งอำเภอแห่งนี้มีปัญหาน้ำท่วมที่ว่าการกิ่งอำเภอในฤดูน้ำหลาก ทางราชการจึงหาสถานที่ตั้งกิ่งอำเภออากาศอำนวยแห่งใหม่ที่บ้านเวินชัย ซึ่งอยู่ใกล้ ลำน้ำสงคราม แต่มีปัญหาเช่นเดียวกันกับที่บ้านสามผง ในที่สุดก็ย้ายมาตั้งกิ่งอำเภอที่บ้านท่าบ่อ ซึ่งอยู่ปากน้ำสงครามบรรจบลำน้ำยาม
ในบริเวณแห่งนี้แม้ว่าจะอุดมสมบูรณ์ด้วยปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ แต่ปัญหาน้ำท่วมบริเวณที่ทำการสำคัญๆ ของรัฐบาลในฤดูน้ำหลาก ทำให้ไม่สะดวกในการติดต่อราชการของราษฎร จึงได้มีการยุบกิ่งอำเภออากาศอำนวยที่บ้านท่าบ่อ และตั้งกิ่งอำเภอแห่งใหม่ขึ้นที่บ้านศรีสงคราม ไม่ห่างจากบ้านท่าบ่อมากนัก ใน พ.ศ. 2496 คือกิ่งอำเภอศรีสงคราม
หลังจากนั้นมาอีก 10 ปี ในปี พ.ศ.2506 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้ตรวจราชการที่ภาคอีสาน เห็นว่าราษฎรในเขต 4 ตำบล คือ ตำบลวาใหญ่ ตำบลอากาศ ตำบลโพนแพง ตำบลโพนงาม อยู่ห่างไกลจากอำเภอวานรนิวาส การติดต่อกับอำเภอไม่สะดวก ประกอบกับมีปัญหาผู้ก่อการร้ายแทรกซึม จึงให้ยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภออากาศอำนวย ขึ้นกับอำเภอวานรนิวาส เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 จึงได้รับการยกขึ้นเป็นอำเภออากาศอำนวย