ประเพณีการสักหมึกของชายล้านนา วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน
วัฒนธรรมล้านนานั้น มีอยู่หลายอย่างที่ยึดถือปฏิบัติกันมาตลอด แต่ก็ยังมีวัฒนธรรมล้านนาอีกหลายอย่างที่ถูกมองข้าม ทั้งแง่เอกลักษณ์ และระบบสัญลักษณ์ที่ผู้ทำได้พยายามสื่อความออกมา อย่างเช่น การสับหมึก หรือ การ ?สัก? ลวดลายลงบนร่างกาย ซึ่งนอกจากจะมีความเชื่อเรื่องการอยู่ยงคงกระพันแล้ว การสักหมึกยังมีความสำคัญต่อการเลือกคู่ครอง ของชายล้านนาอีกด้วย
ในอดีตการสักหมึก เป็นการแสดงออกถึงความเป็นลูกผู้ชาย หากชายใดขาขาวเพราะไม่สักหมึก สาวๆจะไม่เหลียวแล การสักหมึกของชายหรือ ?บ่าว? ในล้านนานิยมสักตั้งแต่บริเวณเอวลงมาจนถึงเหนือหัวเข่า หากมองไกลๆจะเห็นเป็นแถบสีดำ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ?ลาวพุงดำ? ที่ชาวภาคกลางใช้เรียกขาน
ชาวล้านนาในอดีต
ชายล้านนานิยมการสักขาลายมาก เมื่อมีอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่นจะทำการสักแทบทุกคน การสักชนิดนี้ใช้หมึกสีดำไม่มีการเสกคาถากำกับแต่อย่างใด เพราะเป็นการสักเพื่อความสวยงามตามจารีตประเพณีนิยม เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเข้มแข็งของลูกผู้ชาย
ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตคนส่วนใหญ่จะนิยมอาบน้ำในแม่น้ำหรือลำห้วย โดยแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ชาย และกลุ่มผู้หญิง ในสมัยนั้นผู้ชายที่มีรอยสักหมึกตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขาต้องสักขาลายด้วยจึงถือว่าเป็นผู้ชายเต็มตัว หากชายคนใดไม่ได้สักขาลาย ถ้าไปอาบน้ำก็จะถูกล้อเลียนว่าขาขาวเหมือนผู้หญิงควรจะไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิง ทำให้ชายผู้นั้นได้รับความอับอายมาก และผู้หญิงก็ไม่ชอบผู้ชายขาขาวถือว่าเป็นคนอ่อนแอไม่สมควรเอามาเป็นคู่ครอง ด้วยเหตุนี้ผู้ชายในสมัยนั้นจึงนิยมสักขาลายแทบทุกคน
ส่วนความเชื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวกับการสักหมึก ตัวอย่างเช่น ความมั่นใจ อยู่ยงคงกระพัน ให้โชคลาภหรือรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น จะพบน้อยมากเป็นเพราะว่าเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล ไม่ได้เป็นเหตุผลสำคัญ จึงไม่มีอิทธิพลต่อผู้สักเท่าไหร่ จะพบเพียงไม่กี่คนที่สักเพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะตัว
การสักขาลายทุกครั้งนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและความอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับจากการสัก บางคนบอกว่าเจ็บพอทนได้ บางคนบอกว่าเจ็บเหลือประมาณ โดนหลักสักแทงไม่กี่ครั้งก็บอกเลิกกลางคันก็มี การสักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะใช้หลักสักซึ่งเป็นเหล็กแหลม ทำจากเหล็กทั้งแท่งตรงปลายแหลมมาก และข้างในเป็นรูกลวงมาตามยาวเพื่อใส่สี ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 30-50 เซนติเมตรส่วนหัวหล่อทองเหลืองเป็นรูปต่างๆ เทวดาบ้าง สิงห์บ้าง แตกต่างกันออกไป เพื่อให้มีน้ำหนักในการกระแทกเหล็กสัก จิ้มให้เป็นลวดลายต่างๆ ลงไปใต้ผิวหนังในเนื้อขาซึ่งมีความเจ็บปวดมาก
ฉะนั้นผู้ที่ถูกสัก จะต้องดื่มเหล้า สูบฝิ่น หรือสูบกัญชา เพื่อให้เมาและมึนเสียก่อน เพื่อระงับความเจ็บปวด ลักษณะการสักหมึกบนร่างกาย มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปดังนี้
หมึกขาตัน คือการสักหมึกที่สักจนดำเป็นพืดทั้งขา
หมึกขาลาย คือสักลายสัตว์ต่างๆ ในกรอบไว้ห่างๆ พอเห็นเนื้อหนังได้บ้าง
หมึกขายาว คือสักลายจากเอวถึงกลางน่อง
หมึกขาก้อม คือสักลายจากเอวถึงต้นขา
ซึ่งการสักลายในแต่ละแบบนั้น ก็เป็นการแสดงถึงความอดทน เข้มแข็งทั้งกายและใจด้วย จนในบางครั้งอาจจะได้ยินคำหยอกล้อกันในหมู่ชายล้านนาว่า... ?
น้ำหมึกขายาว เอาไว้แป๋งฮาวผ้าอ้อม น้ำหมึกขาก้อมเอาไว้กล่อมแม่ญิงนอน?
ลวดลายส่วนใหญ่มักจะสักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ คือ เสือ แมว ลิง ค้างคาว ช้าง มอม ที่เด่นอยู่ในบรรดาสัตว์ร้ายทั้งหลายก็คือ ราชสีห์ในนิยาย แต่มีบางพื้นที่ในแถบลุ่มน้ำโขง เช่นเมืองลื้อสิบสองปันนา เมืองหลวงพระบาง มักจะสักเป็นลายเกล็ดนาค เพราะเชื่อว่าพวกตนเป็นลูกหลานของพญานาค ซึ่งการสักลายดังกล่าว ก็เพื่อให้พญานาคที่ตนนับถือ มาปกป้องคุ้มครองตน นอกจากนี้ก็ยังมียันต์ต่างๆ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้อยู่ยงคงกะพัน โดยส่วนใหญ่จะสักเฉพาะขาถึงเข่า แต่บางคนก็สักทั้งตัว
ชายล้านนารวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียงนิยมสักหมึกกันอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นเอกลักษณ์ของคนแถบนี้ โดยเห็นได้จากตอนที่สยามเข้ามามีบทบาทการปกครองหัวเมืองเหนือ โดยเรียกล้านนาว่า มณฑลพายัพ เมื่อข้าหลวงของสยามเข้ามามีบทบาทในพื้นที่แถบนี้ ก็พบเห็นการสักของชายล้านนา จนเป็นที่สนใจของข้าหลวงชาวสยามและเรียกชาวมณฑลพายัพว่า ลาวพุงดำ เพราะชายชอบสักมอม ตั้งแต่พุงไปถึงเข่า (มีการตัดทอนบทความ)
ที่มาข้อมูล : bp.or.th/webboard/index.php?topic=7595.0;wap2
ภาพ : รอยสักของเด็กหนุ่มชาวล้านนา ปี พ.ศ.๒๔๓๔ ไม่ทราบผู้ถ่าย
ที่มาภาพขาวดำ : teak door.com
อ้างอิงจาก: เรื่องเล่าภาพเก่าในอดีต