♦️โสฬส ขุนโจรสองประเทศ♦️ตอนที่ 1
โสฬส อดีตเสือร้ายแห่งที่ราบสูง เขาเป็นผู้ร้ายคนเดียวของไทยที่สร้างตำนานปล้นฆ่าสะเทือนขวัญแก่ชาวบ้าน ตั้งแต่ในเขตกรุงเทพมหานครไปจนถึงดินแดนอีสาน รวมทั้งแผ่นดินสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จนได้รับสมญานามว่า”ขุนโจรสองประเทศ”
นามกรเขาแท้จริง คือ นายเวช วิลัยเพชร ชาติภูมิเป็นชาวบ้านม่วง ตำบลโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ บิดาชื่อนายใส มารดาชื่อ นางปอย โดยเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๕ คน ชีวิตในวัยเด็กเขามีความใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนต่อโลก หลังจากสำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ จากโรงเรียนประชาบาลศรีบุญลือ บ้านม่วง ตำบลโนนศิลา ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน
จึงได้เดินทางไปเรียนต่อที่โรงเรียนไตรมิตรวิทยาเสริม อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษา
ในปี พ.ศ.๒๔๘๘ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งสงครามมหาเอเชียบูรพา ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศเป็นฝ่ายยอมแพ้อย่างเป็นทางการ ในปีนั้นนายเวชเพิ่งจะมีอายุครบ ๑๗ ปี อีกทั้งกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ แต่ทว่าพรหมลิขิตได้ชีวิตเขาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ ช่วงที่ใกล้สอบไล่ทางโรงเรียนมีคำสั่งให้พวกนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๖
หยุดเรียน เพื่อเตรียมตัวดูหนังสือทบทวนความรู้ ส่วนห้องเรียนให้นักเรียนชั้นอื่นๆใช้เป็นสถานที่สอบ
เขาถือโอกาสนี้ชักชวนนายผจญ สารขันธ์ นายคำผง คันทะโธรส นายไข สอนบุญตา และนายทา ดูพงษ์ เดินทางไปบ้านสร้างแก้ว ซึ่งมีนายเหมือนและนายสอนเพื่อนร่วมชั้นเรียนอยู่ที่นั่น เพื่อไปช่วยกันทบทวนความรู้ไว้เตรียมตัวสอบ แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางกลับมาบ้าน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งได้เข้าจับกุมด้วยการแจ้งข้อหาว่า”ปล้นทรัพย์” สร้างความมึนงงและตกตะลึงแก่เขาและเพื่อนๆ
เรื่องนี้ความจริงมีเบื้องหลังอยู่ว่า พ่อและแม่ของ
นายเวชได้ไปขัดใจกับญาติพี่น้องในเรื่องมรดกที่ดิน ผู้เป็นลุงเลยได้กลั่นแกล้งแจ้งตำรวจจับหลานชายเป็นการแก้แค้น หลังจากนายเวชถูกคุมตัวไปดำเนินคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา ๘ ปี ทำให้ทางครอบครัวพยายามรวบรวมทรัพย์สินเงินทองจ้างทนายสู้คดีให้กับนายเวชในชั้นอุธรณ์ เพียงหวังให้ลูกชายจะหลุดพ้นโทษ
ในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกเพียง ๖ เดือน แต่ทางพ่อแม่ของนายเวชก็ไม่สิ้นความพยายาม ยังมีการวิ่งเต้นสู้คดีและหวังความปรานีจากศาลฎีกาให้ลดหย่อนผ่อนโทษลงอีก แต่ในระหว่างที่รอการพิจารณาของศาลฎีกาอยู่นั้น ทางการได้ย้ายนายเวชออกจากเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำคลองไผ่ จังหวัดนครราชสีมา รวมเวลาทั้งหมดสองปี
ภายในสถานที่ของเรือนจำคลองไผ่แห่งนั้น
เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มจากท้องทุ่งอีสานที่ชีวิตกำลังจะเริ่มต้นเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่เคยผ่านการต่อสู้สักครั้งเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงได้รับการข่มเหงจากนักโทษรุ่นพี่อยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวด เจ็บแค้นและเจ็บใจที่ที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้ ทำให้เขาค้นพบสัจธรรมในชีวิตว่า ปลาใหญ่ต้องกินปลาเล็ก คนแข็งแรงย่อมข่มเหงคนอ่อนแอ หากต้องการความสบายต้องเป็นคนเข้มแข็ง เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้กระทั่งการถูกข่มเหงรังแก
เมื่อความคิดทำนองนั้นผุดขึ้นมาอยู่ในสมองเขาเริ่มพิจารณาสำรวจตัวเอง จึงพบว่าทุกกระเบียดนิ้วในตัวเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแรง แล้วเรื่องอะไรที่จะไปยอมเป็นลูกไล่ของเพื่อนักโทษด้วยกันเล่า? ตั้งแต่บัดนั้นมานักโทษชายเวชได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง จากที่เคยเป็นลูกแกะมากลายเป็นราชสีห์ที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้อีกต่อไป
จึงได้เริ่มต้นเรียนรู้วิชาโจรจากอาณาจักรคนเถื่อนแห่งนี้ ทำให้ดาวโจรดวงน้อยเริ่มเปล่งประกายออกมา จนบรรดานักโทษที่เคยข่มเหงรังแก่เขามาก่อนเริ่มให้ความขยาดและเกิดความยำเกรง บางคนถึงกับยอมก้มหัวเป็นลูกน้องคอยรับใช้ ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจิตใจของเขาให้เป็นปรกติ โดยในส่วนลึกของจิตใจยังคงถวิลหาความมีอิสรภาพ
เวลา ๒ ปีในเรือนจำคลองไผ่ จังหวัดนครราชสีมาเปลี่ยนบุคลิกของนายเวช จากคนที่เคยอ่อนน้อมกลายมาเป็นคนแข็งกระด้าง จากการเอาชนะผู้อื่นกลายมาเป็นกระทำการทารุณแก่ผู้อื่น จนในที่สุดนักโทษชายเวชถูกนำตัวไปที่เรือนจำนิคมสร้าง ตนเองที่จังหวัดระยอง ซึ่งที่เรือนจำระยองแห่งนี้นัก โทษชายเวชต้องได้รับความลำบากจากการทำงานหนักสารพัด เพราะกำลังเร่งรีบสร้างนิคม
นักโทษทุกคนต้องถูกใช้ให้ทำงานหนักตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นการถูกบีบบังคับทางด้านจิตใจในเรื่องที่ถูกตราหน้าลงไปว่า เขาคือนักโทษ เขาเกลียดชังสังคมที่ไม่มีความเป็นธรรม ทั้งๆที่ได้ยืนยันกับตนเองว่าบริสุทธิ์ เพราะไม่เคยทำความชั่วอะไรมาก่อนเลยจริงๆ ดังนั้นเขามีความแค้นลุงที่ใส่ความ ทำให้เขาต้องติดคุกหมดอนาคต ผนวกกับความชิงชังผู้มีอำนาจทุกคนในเรือนจำที่กดขี่ข่มเหงเขา
ในชั่วระยะ ๖ เดือนในเรือนจำนิคมสร้างตนเอง จังหวัดระยอง นักโทษชายเวชพยายามทำความรู้จักกับเพื่อนนักโทษที่อยู่แห่งเดียวกัน ประกอบกับวาจาที่อ่อนหวานและความเก่งกล้าสามารถ ทำให้เขามีเพื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้น นายเวชพยายามปฏิบัติตัวเป็นนักโทษที่ดีอยู่ในกฎระเบียบ ทำงานหนักด้วยความขยันขันแข็ง จนเป็นที่ไว้วางใจของเจ้าหน้าที่เรือนจำ
อยู่มาวันหนึ่งบรรดานักโทษต้องออกไปทำงานนอกเรือนจำตามปรกติ หนึ่งในจำนวนนั้นมีนักโทษชายเวชรวมอยู่ด้วย จนกระทั่งตกเย็นใกล้เวลาเลิกงานถึงเวลาเรียกนักโทษเข้าแถวตรวจนับจำนวนก่อนกลับเข้าเรือนจำ เจ้าหน้าที่ผู้คุมถึงรู้เรื่องนายเวชได้แวบตัวหายไป โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ภายหลังจากที่ได้หลบหนีการควบคุมของเจ้าพนักงานเรือนจำ ตลอดทั้งคืนนายเวชได้เดินลัดเลาะไปตามป่า จนมีระยะทางห่างจากนิคมสร้างตนระยองมาไกลโข ครั้นรุ่งเช้าได้พบหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงถอดเสื้อประทับตรานักโทษทิ้งไป แล้วแวะหาซื้อเสื้อผ้าในหมู่บ้านมาเปลี่ยนใหม่ โดยทำทีเป็นหนุ่มชาวอีสานมาเผชิญโชคเที่ยวสมัครหางานทำในไร่
จนกระทั่งมีเจ้าของไร่แห่งหนึ่งสงสารได้รับเขาเข้าทำงาน นายเวชได้เปลี่ยนชื่อตนเองเป็นโสฬสก้มหน้าทำงานอยู่ในไร่นานพอสมควร เพื่อเก็บสะสมเงินไว้จำนวนหนึ่ง พอที่จะเป็นค่าเดินทางไปที่อื่น ซึ่งไม่นานนักนายโสฬสก็หายออกจากไร่แห่งนั้นไป โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน