หากเราใช้ใจสัมผัส
"หากเราใช้ใจสัมผัส"
อุ๊ย ... ผู้ชายคนนั้น เขากำลังทำอะไรน่ะ เรียกตำรวจดีไหม โทรศัพท์ !! หายไปไหนนะ ลูกกวาดพ่นพึมพำขณะมือควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย
ในวันว่างจากภารกิจการงานอย่างวันนี้ ลูกกวาดอยากออกมาสูดอากาศ และดูความเป็นไปของผู้คน การได้ออกมาเดินเรื่อยเปื่อยพบเจอผู้คนแปลกหน้า ท่ามกลางความแออัดของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ บางครั้งก็สร้างความปลอดโปร่งให้ลูกกวาดได้อย่างน่าประหลาดใจ
กรุงเทพฯ สำหรับลูกกวาด คือความเป็นศูนย์รวมของความแออัดของผู้คนที่มากกว่าขนาดพื้นที่ดินมากนัก ความเจริญ ความศิวิไลซ์ ที่เคยเป็นความฝันของคนต่างจังหวัดในอดีต ย้ำ!! ว่าในอดีต เดี๋ยวนี้ต่างจังหวัดในทุกภาคของประเทศมีความเจริญไม่แพ้กัน
ไม่จำเป็นต้องส่งลูกหลานมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ อย่างในอดีตอีกต่อไป มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดก็มีบุคคลากรครูที่มีความรู้ ความสามารถไม่ต่างกัน
ฮึ ... เมืองหลวงของประเทศ เมืองที่มีแต่ข่าวอาชญากรรมนี่นะ ใครจะอยากอยู่ ถ้าไม่ติดว่าต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ลูกกวาดก็อยากไปอยู่ต่างจังหวัดเหมือนกัน แต่จนใจที่พ่อแม่ไม่มีมรดกที่ดินตามต่างจังหวัดทิ้งไว้ให้เหมือนคนอื่น
กี่ปีมาแล้วนะที่ลูกกวาดต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ ก็ตั้งแต่เด็กนั่นแหล่ะ ตอบตัวเองเสร็จสรรพ เด็กน้อยคนนั้นคนที่มองโลกสวยงามแสนสวย เหมือนเดินเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ตลอดเวลา ... หายไปไหนนะ
เมืองนี้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนขี้ระแวง หวาดกลัว ขึ้นรถก็ต้องรีบล็อคประตู เข้าบ้านก็กดล็อคประตูทุกครั้งด้วยความกลัว ถึงขนาดเคยจินตนาการว่าระหว่างเข้าบ้านมีโจรที่คอยท่าอยู่แล้ว พุ่งพรวดตามเข้ามา แล้วปล้นเอาของทุกอย่างไปจากเธอ
ของที่เธอสู้อุตส่าห์ทำงานแลกมาอย่างเลือดตาแทบกระเด็น ครั้นได้สติรับรู้ว่านี่คือจินตนาการ ก็ยังไม่หายกลัว ไม่หายระแวง หรือเมืองนี้จะมีแต่เรื่องร้ายๆ ให้เธอได้เสพข่าวร้ายจนชิน จนเกิดความระแวงอย่างที่เป็นอยู่
ลูกกวาดเคยไปเที่ยวบ้านสามีไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เลย แค่บางปะกง ฉะเชิงเทราแค่นี้เอง ลูกกวาดได้เห็นความแตกต่างอย่างมากมาย คนที่นั่นปลูกบ้านแต่ไม่ต้องมีรั้วบ้าน เหมือนในหนังต่างประเทศที่ลูกกวาดเคยดู และเคยแอบขำ คิดเล่นๆ ว่าหมดแน่ ถ้าเป็นกรุงเพฯ ยกทรงยังไม่เหลือ
ถามแม่ว่าทำไมไม่ทำรั้ว แม่หันมามองหน้าแล้วถามกลับว่าทำทำไมให้เปลือง พี่ๆ น้องๆ คนรู้จักกันทั้งนั้น เดี๋ยวลำบากเผื่อจะมาตักกงตักแกงไปกิน แบบนี้แหล่ะสะดวกดี
"แล้วโจรขโมยไม่กลัวเหรอคะ" ลูกกวาดยังคงถามต่อ
แม่หัวเราะ "ไม่มีหรอก เขาจะมาเอาอะไร ไม่เห็นมีอะไรให้เอา"
จริงๆ อยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ลูกกวาดได้แต่คิด
ระหว่างเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ลูกกวาดก็มาสะดุดตากับน้กร้องตาบอดเสื้อฟ้า เสียงดี ยืนฟังเพลงของน้องด้วยความเคลิบเคลิ้ม สักพักนึงก็มีผู้ชายคนนึง สภาพเหมือนคนเร่ร่อน ยืนมองน้องด้วยความสนใจเช่นกัน
ลูกกวาดเริ่มหันรีหันขวางกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทำยังไงดี ใจเริ่มคิดไปต่างๆ นานา ในทางร้ายๆ กลัวและสับสน เรียกตำรวจ คือสิ่งที่สมองสั่งการ มือก็เริ่มควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย อยู่ไหนนะ หงุดหงิดใจกับการหาที่ไม่ได้อย่างใจ
ผู้ชายคนนั้นยืนนึ่งฟังน้องร้องเพลงอยู่นานเลย พอน้องร้องจบไปสองเพลง ผู้ชายคนนั้นก็พยายามล้วงกระเป๋าตัวเองหยิบเหรียญออกมาเลือก สุดท้ายเค้าก็เลือกเหรียญสิบ แล้วเดินมาหยอดเหรียญนั้นให้กับน้องนักร้องตาบอดเสียงดีคนนี้ แล้วเดินจากไป เป็นการเดินจากไปที่สง่างามที่สุดสำหรับลูกกวาด ประหนึ่งมีแสงเรืองๆ ออกมาจากตัวเหมือนเทพอะไรสักองค์ในความคิดของลูกกวาด
เหมือนเทวดาจำแลงมาสั่งสอนลูกกวาด สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น ... ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน!!!!
ดีนะที่ลูกกวาดหาโทรศัพท์ไม่เจอ ไม่งั้นเธอคงเป็นกระต่ายตื่นตูมแสนชั่วร้ายแน่ๆ เหตุการณ์วันนี้สอนอะไรลูกกวาดมากมาย เธอเริ่มมองเห็นอะไรในม่านหมอกของความคิด จิตใจที่ชั่วร้ายสร้างขึ้นได้เองจากจินตนาการ และจากการเสพข่าวร้ายๆ
ต่อไปนี้เธอจะเปลี่ยนมัน เธอจะแชร์แต่ข่าวดีๆ มีประโยชน์ เลิกแชร์แต่แง่มุมร้ายๆ ที่คิดเองว่าดี จะได้ช่วยกันเตือนภัย การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าให้ถึงขั้นวิตกจริตเลยนะ ลูกกวาดคิดขณะเดินยิ้มกลับบ้านอย่างสุขใจ
สิ่งที่เห็น กับสิ่งที่เป็น ... ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
อักษราลัย
16 February 2020