ประวัติความเป็นมา "ศรีธนญชัย"
การถ่ายทอดเรื่องราวของศรีธนญชัย ยอดตลกหลวง ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง โดยมีบทเริ่มต้นดังนี้
กาลครั้งหนึ่งยังมีสองสามีภรรยาอยู่กินด้วยกันมาอย่างมีความสุขเป็นเวลา หลายปี แต่กลับยังไม่มีบุตร "นายชัย" ผู้เป็นสามีจึงปรึกษากับ "นางศรี" ภรรยาของตนว่าควรปลูกศาลเพียงตาทำพิธีบวงสรวงเทพยดา เพื่อขอทายาทไว้สืบสกุล ร้อนถึง พระอินทร์ เมื่อรู้สึกว่าพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เกิดแข็งกระด้างจึงเล็งทิพยเนตรลงมาตรวจดูความเป็นไปของชาวโลก
ครั้นทราบความประสงค์ของสองสามีภรรยาก็มีจิตเมตตาคิดจะช่วย สงเคราะห์ให้สมความปรารถนา จึงมีบัญชาให้เทวบุตรองค์หนึ่งจุติลงมาในครรภ์ของนางศรี
ในค่ำคืนนั้น นางศรีฝันว่าได้ไปเที่ยวเล่นและพบเขาพระสุเมรุขวางอยู่ จึงผลักเบี่ยงให้พ้นทาง ครั้นเห็นพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าได้คว้าเอามาถือไว้ พลันนางศรีก็ตกใจตื่นรีบปลุกสามีเล่าความฝันให้ฟัง รุ่งเช้านางได้ไปหาท่านสมภารที่วัดหมายให้ช่วยทำนายฝัน
บังเอิญท่านสมภารออกไปฉันเพลนอกวัด สามเณรซึ่งเป็นผู้เฝ้ากุฏิจึงทำนายให้เองว่า นางจะให้กำเนิดบุตรชาย และเมื่อโตขึ้นเขาผู้นั้นจะได้เป็นยอดตลกหลวงผู้มีชื่อเสียง นางศรีดีใจรีบกลับไปบอกนายชัยสามี ครั้นท่านสมภารกลับมาได้ฟังเรื่องราวจากสามเณรก็ดุบอกว่าทำนายผิด เพราะลูกของเขาจะเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเหนือคนทั้งปวงต่างหาก
เมื่อครบกำหนดคลอดเพื่อนบ้านได้มาเยี่ยม และนำข้าวของมาให้เป็นอันมาก พอนางศรีแข็งแรงดีแล้วจึงชวนสามีนำลูกชายไปหาท่านสมภารให้ช่วยตั้งชื่อ ท่านสมภารได้นำชื่อของแม่คือ "ศรี" นำหน้า ปิดท้ายด้วยชื่อพ่อคือ "ชัย" โดยมีคำว่า "ธนญ" อยู่ตรงกลางจึงกลายเป็น ศรีธนญชัย ซึ่งเป็นเด็กที่ช่างพูดช่างเจรจา พ่อกับแม่และชาวบ้านต่างพากันให้ความรักและเอ็นดู
ประวัติศรีธนญชัยนั้นมีอยู่หลายเวอร์ชั่น ทางภาคเหนือและอีสานท่านเรียกว่า "บักเสี้ยงเมี้ยง" คำว่า "เสี้ยง" นั้นเพี้ยนมาจากคำว่า "เชียง" หรือ "เซียง" ซึ่งเป็นคำเรียกคนเคยบวช เหมือนกับคำว่า "ทิด"
ซึ่งใช้เรียกคนเคยผ่านการบวชพระมาแล้วในภาคกลาง "เซียง"หรือ "เสี้ยงเหมี้ยง" ก็คือ "ทิดเหมี้ยง" ส่วนคำว่า "เหมี้ยง" ซึ่งคู่กับคำว่า "หมาก" นั้น หวังว่าคงไม่ต้องแปล
แต่สมัยเป็นสามเณรนั้น "เซียงเหมี้ยง" ใช้ไหวพริบเอาเหมี้ยงของพ่อค้ามากินฟรีๆ โดยการพนันกันว่า พ่อค้าจะหาบเหมี้ยงข้ามน้ำมาโดยที่เหมี้ยงไม่เปียกได้หรือไม่ ? ปรากฏว่าพวกพ่อค้าหาบเหมี้ยงลุยน้ำข้ามมา หาได้หาบเหมี้ยงข้ามน้ำมาไม่ ศรีธนญชัยปรากฏตัวในบทนี้ บทที่ได้เหมี้ยงไปกินฟรี "สี่ซ้าห้าบาท" คือกวาดเรียบ เอาทั้งซ้าคือตะกร้าหรือชะลอมและบาตรพระมาใส่เหมี้ยงฟรี จนเหมี้ยงมีให้ไม่พอปรับ นับเป็นการขึ้นชื่อลือชาในด้านไหวพริบปฏิภาณเป็นอย่างยิ่ง
สมัยราชาธิปไตยนั้น ไม่มีการคัดค้านต่อหน้าพระพักตร์ ใครขืนขัดก็จะโดนขัดทั้งดอกทั้งต้นจนตัวตาย การแสดงออกในทางการเมืองของคนไทยสมัยโบราณจึงต้องแสดงผ่านตัวละครไปในแนวตลก และผู้ที่จะสามารถต่อกรกับพระราชาได้ก็เห็นจะมีเพียงพระสงฆ์เท่านั้น ดังนั้นพระสงฆ์หรือตัวแทนของพระสงฆ์จึงถูกอุปโลกน์ให้เป็นตัวแทนฝ่ายประชาชน เข้าไปคานอำนาจกับพระราชาในการบริหารกิจการบ้านเมือง รวมถึงการวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆ
ศรีธนญชัยจึงได้ฉายาว่า "ตลกหลวง" บวกกับภูมิปัญญาแบบไทยๆ ที่ใช้ความได้เปรียบเสียเปรียบโดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์กติกา แต่อาศัยเพียงว่าใครไหวพริบดีกว่าก็ได้ไป ส่วนใครโง่เง่าเอาไม่ทันก็ปล่อยให้มันเป็นฝ่ายแพ้ ไม่มีใครเหลียวแล ทุกคนสนใจก็แต่ฝ่ายชนะ ชัยชนะแบบศรีธนญชัยซึ่งไม่โปร่งใสในทางคุณธรรมจริยธรรม ไร้ทั้งจรรยาและมารยาท กลับกลายเป็นฮีโร่ในใจของคนไทย
ศรีธนญชัย..เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทางด้านสติปัญญา แต่ทำไมนะทำไม..เขาจึงกลับไม่ใช่คนน่าคบหา ความฉลาดของเขา..ไม่ได้ทำให้คนชื่นชมเขาหรอกหรือ.. มาดูสิว่า..ปฏิภาณและไหวพริบนั้น ทำให้เขารอดปลอดภัยมาได้อย่างไรกัน ชีวิตศรีธนญชัยมีทั้งด้านดีคือรู้จักใช้ปัญญา แต่อีกด้านหนึ่งใช้ความฉลาดของตนเอาเปรียบคนอื่น ไม่นึกถึงความผิดชอบชั่วดี สุดท้ายต้องรับกรรมที่ก่อไว้...?
----------------------------------------------------------------------
จุดจบ ศรีธนญชัย
วันหนึ่งศรีธนญชัยนึกอยากไปเล่นหมากรุกกับพระที่วัด เดินจากบ้านมาถึงริมน้ำ
เห็นเณรองค์หนึ่งพายเรือผ่านมา จึงเรียกให้จอดบอกว่า "ขอข้ามเรือสักที" เณรองค์นั้นรีบจอดเรือ
แล้วทำทีเป็นเดินข้ามไปข้ามมา ยอดตลกหลวงเจอดีเข้าแล้วรีบบอกว่า "นี่พ่อเณรขออาศัยนั่งเรือ
ข้ามฟากไปวัดด้วยคน"
เณรจึงให้นั่งเรือไปด้วยแต่กลับลุกขึ้นยืนพายอย่างตั้งอกตั้งใจ
ศรีธนญชัยเกรงเรือจะล่มจึงถามไปว่า "ทำไมไม่นั่งพายเล่าพ่อเณร" เณรองค์นั้นก็เอาพายพาดเรือ
แล้วนั่งทับพายไว้ ยอดตลกหลวงเสียทีเณรสองครั้งสองคราติดต่อกันก็คั่งแค้นใจ
เพราะไม่เคยพ่ายแพ้เชาว์ปัญญาใครมาก่อน รีบบอกให้เณรพายเรือเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา
พายกันตามปกติเถิด
เณรจึงถามว่าจะขึ้นตรงไหน ศรีธนญชัยกำลังโกรธก็ว่าจะจอดตรงไหน
ก็ตามใจเถิด เณรเห็นหมู่กอไผ่ขึ้นเรียงรายอยู่ริมตลิ่งจึงเสือกหัวเรือเข้าไป
ยอดตลกหลวงเสียทีเป็นครั้งที่ 3
ต้องลุยหนามไผ่หรือหนามซอเกือบครึ่งค่อนวันจึงหลุดออกมาได้
(กาพย์ฉบัง)
อยู่เป็นเจียรกาลนานไป เจ้าศรีทะนนไชย
น้ำใจใคร่ไปวัดวา
ไปนั่งให้สบายกายา เล่นหมากรุกสกา
กับด้วยเถราเจ้าไท
วันนั้นข้ามฟากชลาลัย ท่าคลองหนึ่งไซร้
เพื่อนจึงเดินไปมิช้า
ครั้นถึงริมฝั่งชลธา ไม่มีเรือชา
จะข้ามไปหนาไม่มี
เพื่อนนั่งชาฝั่งนที ช้านานดีหลี
ไม่มีเรือข้ามเลยนา
ดูไปที่หน้าวัด เห็นสามเณรรา
ก็มีวาจาพาที
พ่อเณรเอ็นดูข้านี้ ข้ามเรือสักที
เอ็นดูโยมนี้เถิดนา
เณรน้อยยินถ้อยวัจนา จึงข้ามไปมา
เรือที่หน้าท่าริมชล
ทะนนไชยน้ำใจคิดจน เสียรู้เสียกล
ครั้งนี้มาจนอุรา
จึงกลับคืนถ้อยวาจา ว่าเอาเรือมา
ข้ามฟากนี้นาพลอยไป
เณรจึงพาเรือไปไว ถึงศรีทะนนไชย
เพื่อนไซร้ก็ลงนาวา
เณรน้อยพายลอยล่องมา ถึงกลางชลธา
จึงมีวาจาว่าไป
ว่าประสกจะขึ้นที่ไหน ทะนนไชยว่าตามใจ
ที่ไหนก็จอดเถิดหนา
เจ้าเณรบ่ายบกเรือมา ตรงกอไผ่ป่า
ซึ่งรกหนามหนาชัฎไป
จอดให้นายศรีทะนนไชย ว่าประสกขึ้นไป
ข้าไซร้จะไปวัดวา
ทะนนไชยเสียรู้เณรา คิดน้อยหัทยา
ก็จนอุราขึ้นไป
ต้องแผ้วต้องถางกอไผ่ แต่เช้าเล่าไซร้
จนบ่ายชายไปสุริยา
จนตลอดไปยังเคหา ว่าจะไปวัดวา
เล่นหมากรุก สกาเปล่าไปฯ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
อยู่ต่อมาไม่นานสามเณรซึ่งเฆี่ยนศรีธนญชัยด้วยแส้ปัญญาจนพ่ายแพ้ยับเยิน
นึกอยากรับราชการจึงขออนุญาตโยมพ่อโยมแม่และอุปัชฌาย์สึก แล้วไปถวายตัวกับ
พระเจ้าภูเบศปฎิบัติหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนได้เลื่อนขึ้นเป็นนายเวรผู้พิจารณา
ความชั้นต้น
วันหนึ่งสองตายายมาร้องเรียนว่าศรีธนญชัยได้ขอยืมเงินไปหนึ่งชั่งห้าตำลึง
บอกสองเดือนจะนำมาคืนให้แต่นี่ผ่านมาปีกว่า ไปทวงครั้งใดก็ทำนิ่งเฉย นายเวรเรียก
คู่ความมาสอบสวน ศรีธนญชัยก็อ้างข้อความในสัญญาบอกสองเดือนจะใช้หนี้ให้ แต่นี่เพิ่ง
เดือนเดียวเท่านั้น จะรีบทวงไปทำไม นายเวรรู้ทันเล่ห์ถามว่าท่านหมายถึงเดือนบนฟ้า
ใช่หรือไม่ เมื่อยอดตลกหลวงรับว่าใช่ นายเวรจึงเรียกมาตัดสินในเวลากลางคืน
พร้อมชี้ให้ดูเดือนบนท้องฟ้ากับเดือนอีกดวงหนึ่งที่ปรากฏเงาอยู่ในน้ำ
รวมเป็นสองเดือนพอดี ศรีธนญชัยจำต้องใช้หนี้คืนโจทก์ไปและชักแน่ใจว่านายเวร
หรืออดีตชาติของสามเณรผู้นี้
คือน้องชายของตนกลับชาติมาเกิดเพื่อแก้แค้นนั่นเอง
หลังจากแพ้คดีศรีธนญชัยก็มีแต่ความกลัดกลุ้ม
ใบหน้าเศร้าหมองร่างกายซูบผอม โรคภัยเบียดเบียน
คิดว่าตนคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
จึงให้ภรรยาไปเฝ้าพระเจ้าภูเบศว่า ตนมีเรื่องสำคัญจะทูล
พระเจ้าภูเบศเห็นแก่คนใกล้จะตาย อุตส่าห์รีบเสด็จมา
ศรีธนญชัยจึงทูลว่า "การที่จะเสวยปลาหมอปิ้งนั้นให้หมั่นกลับอย่าให้หนังแห้งจึงจะอร่อย"
พระเจ้าภูเบศคลั่งแค้นพระทัยตรัสว่า
"มึงตายเมื่อไรกูจะให้สนมนางในมาเยี่ยวรดกองกระดูกให้สมใจ"
ได้ฟังดังนั้น ศรีธนญชัยจึงสั่งภรรยาว่า ให้เอาไม้ลังตังมาเผาศพตนห้ามใช้ไม้อย่างอื่น
เมื่อนางข้าหลวงได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าภูเบศก็พากันมาเยี่ยวรดเถ้ากระดูก
ของศรีธนญชัย จึงโดนขุยไม้ลังตังฟุ้งเข้าใส่ในร่มผ้าต่างคันคะเยอ
แหกปากร้องลั่นไปตามๆ กัน
นับว่ายอดตลกหลวงยังคงรักษาเกียรติภูมิ
ความเป็นผู้มีเชาว์ปัญญาไว้ได้จนวาระสุดท้าย
แม้จะใช้ไปในทางฉลาดแกมโกงซะเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งเยาวชนไม่ควรเอามาเป็นแบบอย่าง
แต่เรื่องราวของศรีธนญชัยก็ให้แง่คิดและคติอยู่หลายประการ
สระศรีธนญชัย หรือสระเซียงเมี่ยง เป็นสระน้ำโบราณสำคัญคู่บ้านไผ่ใหญ่ เมืองอุบลฯ