เรื่องผีตุ๊กตาอาถรรพ์
เรื่องนี้เป็นเรื่องจากคุณ น. (นามสมมติ) ครับ คุณ น. เล่าว่า.. เหตุการณ์ที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมอย่างแรง ถึงมันจะเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว แต่ผมก็ไม่มีวันลืมได้เลย ย้อนไปช่วงนั้นคนจะนิยมแต่งบ้าน แต่งร้านอาหาร แนวบาหลี เคยเห็นไหมครับ? พวกแนวหินๆ มีรูปปั้น หน้ากากแปลกๆ มาตกแต่ง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบแนวนี้ ก็เลยหามาจัดแต่งบ้านบ้าง พยายามสืบเสาะหาของแต่งบ้านแท้ๆ จากบาหลี ไปเดินหาตามจตุจักรบ้าง ตามที่เค้าขายกันบ้าง ซื้อต่อจากคนรู้จักบ้าง ไม่นาน บ้านผมก็เต็มไปด้วยของตกแต่งแนวบาหลี ที่ผมชื่นชอบมาก และแฟนผมตอนนั้นก็ชอบเช่นกัน
มีอยู่วันหนึ่ง ผมก็เล่นคอมตามปกติ แล้วนึกยังไงไม่รู้ เข้าเว็บ ebay ไปดูของแต่งบ้านแนวบาหลีนี่ล่ะ ก็เลื่อนๆ ดูไปเรื่อย จนไปสะดุดตากับของชิ้นหนึ่ง มันเป็นตุ๊กตาใส่หน้ากาก ลักษณะเหมือนตุ๊กตาชักใย มีสายระโยงระยาง ผมเกิดอยากได้ขึ้นมา จะเอามาแขวนให้ลูกสาววัย 5 ขวบดู แต่ดูราคาแล้วมันก็เอาเรื่องอยู่ แต่คนขายมันเขียนว่าต่อราคาได้ ผมก็ลองต่อราคาดูเล่นๆ ใส่ราคาถูกๆ เลย กะว่าถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่างมัน (แต่ในใจก็แอบลุ้นให้ได้) หลายวันต่อมา ก็ไม่มีเมลตอบกลับจากเจ้าของซะที ..ผ่านไปเป็นเดือน จนผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท พอนึกขึ้นได้ ก็รีบเปิดเว็บไปดูอีกที ปรากฏว่ามันไม่มีแล้ว สงสัยเค้าคงขายไปแล้ว ผมก็นึกเสียใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็พยายามทำใจ ..ชั่วอึดใจเดียว มีเสียงเมลเข้ามา ก็เลยเปิดอ่าน ปรากฏว่าเป็นเมลเจ้าของตุ๊กตานั่นเอง ผมดีใจมาก รีบลนลานอ่าน สรุปใจความได้ว่า เค้าตกลงจะขายให้ผมในราคาที่ถูกกว่าที่ผมต่อเสียอีก! ผมไม่คิดอะไรมาก รีบตอบตกลง และชำระเงินทันที.. รอของอีกเกือบเดือน ในที่สุดตุ๊กตาตัวนั้นก็ได้มาแขวนอยู่ในห้องนอนผมเป็นที่เรียบร้อย
ครั้งแรกที่แฟน และลูกสาวผมเห็นตุ๊กตาตัวนี้ พวกเธอทำหน้าไม่ค่อยชอบ แฟนผมบอกมันน่ากลัว ไปซื้อมาทำไม? ส่วนลูกสาวนี่ไม่เอาเลย บอกป๊าเอาไปทิ้งเลย หนูไม่ชอบ หนูกลัว ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่นาน สองสาวถึงยอมให้เก็บไว้ได้ แต่ห้ามเอามาไว้ในห้องนอน ให้เอาไปไว้ในห้องอาหารแทน
เวลาผ่านไป ผมก็ยังไม่เลิกเห่อเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ ถ้าว่างเมื่อไหร่ เป็นต้องจับลงมาขัดๆ ถูๆ เมื่อผมพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตุ๊กตาตัวนี้น่าจะเป็นของเก่าแก่ ไม่ใช่ทำขึ้นใหม่ ดูจากสีของผ้าที่เป็นชุดสีแดงสลับดำของตัวตุ๊กตา มันหมองๆ มีคราบเป็นจุดๆ ดำๆ ตามอายุผ้า มีบางจุดที่เก่าจนเปื่อย ดูจากด้ายที่ใช้เย็บก็ออกสีน้ำตาลอมเหลืองเก่าๆ พวกหมุดโลหะที่ใช้ปักบนเสื้อผ้าก็หมอง มีคราบสนิมจับบางจุด แต่ที่น่าสนใจคือที่ใบหน้าของตุ๊กตา ทีแรกเข้าใจว่ามันทำจากพลาสติกสมัยใหม่ แต่พอได้ลองจับพิจารณาแล้ว มันทำมาจากกระเบื้องเผาคล้ายๆ พวกชามจีน หรือถ้วยสังคโลก ที่เมื่อยิ่งผ่านเวลานาน เนื้อกระเบื้องจะมีลาย เค้าเรียกว่า ‘มันลาน’ ที่จะเป็นเส้นๆ ขึ้นตามเนื้อกระเบื้อง ถ้าจินตนาการล้ำไปอีก มันก็ดูจะคล้ายๆ เส้นเลือดบนใบหน้าคนเหมือนกันนะ.. ผมพิจารณาตุ๊กตาอยู่นาน คาดว่าอายุของมันน่าจะนานกว่าอายุของผมหลายเท่าแน่ คิดในใจ โชคดีจังวะได้ของโบราณราคาถูก เหมือนตุ๊กตาตลาดนัด’ ผมใช้เวลาอยู่กับตุ๊กตาตัวนั้นนานขึ้นๆ ทุกวัน จากวันละไม่กี่นาที จนกลายเป็นชั่วโมง จนแฟนผมเริ่มตัดพ้อว่าสนใจแต่ตุ๊กตาไม่สนใจลูกเมียเลย คอยดูนะ จะเอาไปทิ้ง! ผมเลยต้องวางมือจากตุ๊กตาชั่วคราว หันมาสนใจลูกเมียให้มากขึ้น ทั้งที่ในใจก็อยากจะจับมันทุกนาที แต่ไม่อยากทะเลาะกับแฟน เลยจำใจต้องแขวนมันกลับที่เดิม
หลายเดือนต่อมา เหตุการณ์ประหลาดๆ เริ่มเกิดขึ้นในบ้านผมครับ ลูกสาวชอบมาเล่าให้ฟังว่า ได้ยินเสียงคนมาเคาะห้องตอนดึกๆ แทบทุกคืน ได้ยินเสียงเพลง เสียงเด็กร้อง แต่ผมกับแฟนไม่เคยได้ยินอะไร เลยคิดไปว่าลูกคงโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจตามประสาเด็ก หลังจากนั้นไม่นานลูกสาวผมก็เริ่มป่วย ทีแรกคิดว่าป่วยปกติธรรมดา ก็พาไปหาหมอ หมอบอกไม่มีอะไรน่าห่วง แค่เป็นหวัดนิดหน่อย ก็พากลับมาพักที่บ้าน แต่อาการลูกสาวก็ไม่ดีขึ้นเลย แกจะไม่อยากลุกจากที่นอน ทั้งๆ ที่ไข้ก็ไม่มีแล้ว ข้าวก็ไม่ยอมกิน ขนมที่ชอบกิน ซื้อมาให้ก็ไม่กิน ตกดึกสักเที่ยงคืนก็จะตื่น แล้วลุกขึ้นมาเล่นเหมือนปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีผมนอนๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงลูกสาวรื้อของเล่นออกมากองแล้วเล่นคนเดียว คุยคนเดียว เหมือนกับมีเพื่อนเล่นด้วย ซึ่งแกไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ด้วยความง่วง และเหนื่อยจากการทำงาน ผมก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าเด็กๆ ก็คงเป็นแบบนี้ล่ะ ได้แต่บอกไปว่า ‘เล่นเบาๆ นะ ป๊ากับแม่จะนอน ง่วงแล้วก็เก็บของเข้านอนนะลูก..’ ซึ่งเหตุการณ์มันจะเป็นแบบนี้บ่อยๆ ลูกสาวจะนอนตอนเช้าถึง เย็น จะตื่นมาเฉพาะตอนเรียกมากินข้าว กินนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็จะรีบไปนอนต่อ แล้วไปตื่นอีกทีตอนดึกๆ ซึ่งมันผิดวิสัยเด็กเอามากๆ ผมเริ่มสงสัยมากขึ้น เลยไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นหมอเด็ก เค้าบอกอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เด็กบางคนก็มีพฤติกรรมแปลกๆ ช่วงนึง แล้วก็จะเลิกไปเอง คอยสังเกตดูละกัน ผมก็เลยไม่คิดอะไร ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา
จนคืนหนึ่ง ดึกมากแล้ว ผมตื่นขึ้นมากลางดึก มองหาลูกในห้องไม่เจอ เลยคิดว่าแกคงเดินลงไปข้างล่างแน่ๆ เลยเดินตามไปดู แล้วผมก็เจอลูกสาวผมอยู่ในห้องอาหาร แต่สิ่งที่ทำให้ผมช็อคคือ แกรำครับ ไม่รู้ว่าจะเรียกรำหรือเต้นดี ท่าเหมือนการเต้นแบบชาวเผ่าน่ะครับ กระโดดๆ แล้วเต้นๆ แล้วก็เอามือขึ้นมาทำท่าเหมือนรำ ผมตกใจมาก แกไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ผมรีบเปิดไฟให้สว่างทั่วบ้าน แล้ววิ่งเข้าไปอุ้มลูกทั้งๆ ที่ยังเต้นอยู่ พาวิ่งขึ้นห้องนอนทันที ผมรีบปลุกแฟนมาเล่าทุกอย่างให้ฟัง ผมถามลูกว่า ‘ลูกทำอะไร ไปเต้นอยู่ในห้องอาหารทำไม?’ ลูกทำหน้างง บอก ‘หนูก็นอนอยู่นี่ป๊า ป๊ามาปลุกหนูทำไม?’ ผมกับแฟนนี่เหวอเลยครับ ..เหตุการณ์มันชักไม่น่าไว้ใจแล้ว ลูกผมเป็นอะไร? จะว่าละเมอเดินรึก็ไม่แน่? ผมไม่มีข้อสรุป ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ผมฟัง แม่ให้สร้อยพระ สายสิญจน์มา บอกเอามาใส่ให้ลูกเรียกขวัญ ผมก็ทำตาม แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ลูกผมยังคงเล่นคนเดียว ยังคงละเมอลงมาเต้นที่เดิมประจำ ช่วงนั้นผมเครียดมากๆ
เคราะห์กรรมผมยังไม่หมด นอกจากลูกจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ แฟนผมดันเริ่มมาป่วยอีกคน แต่อาการของแฟนผมแปลก ป่วยเหมือนมีไข้อยู่ 3-4 วัน แล้วอยู่ๆ ก็พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ซะอย่างนั้น ผมรีบพาส่งโรงพยาบาลเช็คอย่างละเอียด สแกนสมองด้วย เพราะกลัวว่าเส้นเลือดจะแตกในสมอง แต่ผลก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย ทุกอย่างปกติสมบูรณ์หมด หมอยังงงว่าเกิดจากอะไร? ตรวจเลือด เพาะเชื้อ ที่คิดว่าจะเป็นไปได้ ทั้งไข้สมองอักเสบ เชื้อต่างๆ นานา ผมจำไม่ค่อยได้ แต่ผลคือปกติไม่ติดเชื้ออะไรเลย จนหมออายุกรรมบอก จะส่งแฟนผมไปแผนกจิตเวชแล้วกัน เพราะเคยมีเคสคนไข้อาการทางจิตเวช ที่อยู่ๆ ก็ไม่เดินไม่พูดไม่กิน คล้ายๆ แฟนผม แต่ส่วนน้อยมากที่จะเจอสักคน สรุปแฟนผมถูกส่งต่อไปแผนกจิตเวช ตอนนั้นแฟนผมพูดไม่ได้ คือจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา แต่ยังรับรู้ทุกอย่าง ผมเรียกชื่อ แฟนก็จะกระพริบตารับว่าเข้าใจได้.. รักษาอยู่จิตเวช 1 เดือน อาการแฟนผมไม่ดีขึ้นเลย จนทางครอบครัวแฟนให้ย้ายโรงพยาบาลไปรักษาต่อที่กรุงเทพฯ ช่วงนั้นผมเครียดจนแทบเป็นบ้า เพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวผม ลูกผมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม จนผมต้องติดกลอนเพิ่มที่ประตู ให้อยู่สูงเกินเอื้อมถึง จะได้ออกจากห้องตอนดึกๆ ไม่ได้ ซึ่งก็ได้ผลครับ ลูกสาวเอื้อมเปิดกลอนไม่ถึง ก็เลยไม่ได้ลงไปรำข้างล่าง แต่กลับกลายเป็นว่า แกรำในห้องนอนเลยครับ! จนผมขาดสติ เพราะปัญหาประเดประดังเข้ามาจนผมหลุด จำได้เลย คืนนั้นผมลงมือตีลูก ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่เคยตีเลย วันนั้นผมทำลงไปได้ยังไง.. ผมตีไปร้องไห้ไป ปากก็ตะโกน ‘หยุดได้แล้ว ป๊าบอกให้หยุดไง มารำบ้าบออะไร ป๊าไม่ชอบ!’ ผมตีลูกไป 10 กว่าทีได้ จนสติผมเข้าร่าง ลูกผมนั่งตัวสั่นแต่ไม่ร้องเลยสักแอะ ลูกถามผมว่า ‘ป๊าเป็นอะไร?’ ผมลงไปกอดลูกแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่ไหวอีกแล้ว สติผมไม่สมประกอบที่จะเลี้ยงลูกได้
เช้าขึ้นมา ผมโทรหาแม่ของแฟน เล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่แฟนบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเอาลูกมาเลี้ยงให้สักพัก ให้ผมสติดีขึ้นก่อนแล้วจะเอามาส่ง.. บ่ายวันนั้น แม่แฟนก็มาเอาลูกผมไปเลี้ยงให้.. ผมมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่จนใจเย็นลงแล้ว ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า แล้วมานั่งหาอะไรกินที่ห้องอาหาร ขณะกำลังกินอยู่ สายตาผมก็เหลือบไปมองเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นเข้าโดยบังเอิญ ผมไม่รู้ว่าผมหลอนไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าไอ้ตุ๊กตานั่นมันกำลังยิ้มให้ผมแบบเยาะเย้ย แต่ด้วยความโง่หรืออะไรของผมตอนนั้นก็ไม่ทราบได้ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร กินอิ่ม ล้างจานชามเสร็จก็เดินขึ้นห้อง ล้มตัวนอนแล้วหลับไปด้วยความเพลีย มารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อหูผมได้ยินอะไรบางอย่างอยู่หน้าห้อง! เสียงเหมือนหนู หรือสัตว์ตัวเล็กๆ มันกำลังเดินอยู่ข้างนอก ผมได้ยินเสียงฝีเท้ามัน เบามาก แต่ก็ได้ยิน เสียงมันมาหยุดที่หน้าห้องผม แล้วได้ยินเหมือนเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง ผมพยายามฟัง แต่ไม่รู้เรื่อง.. มันเหมือนเสียงซุบซิบๆ เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ จนผมทนไม่ไหว ลุกขึ้นจากที่นอนไปเปิดประตูออกไปดู แต่ก็ไม่มีอะไร.. ผมสงสัยว่าผมคงกำลังจะเป็นโรคประสาทแล้วมั้ง
วันรุ่งขึ้น ผมก็โทรไปถามไถ่แม่แฟนว่าลูกสาวผมเป็นยังไงบ้าง? ดึกๆ ยังลุกขึ้นมารำอีกหรือเปล่า? คำตอบที่ได้คือ ไม่เลย.. ลูกสาวผมหลับสนิททั้งคืน เช้าก็ตื่นมากินข้าว มาเล่นตามปกติ ไม่นอนกลางวันนานๆ เหมือนตอนอยู่บ้านผม ผมก็งงๆ แต่ก็ดีใจที่ลูกสาวกลับมาเป็นปกติแล้ว.. ส่วนแฟนผมก็มีข่าวดี ตั้งแต่ไปรักษาที่โรงพยาบาลใหม่ แฟนผมเริ่มกินข้าวปลาได้แล้ว จากที่เคยพูดไม่ได้ก็พูดได้แล้ว และนอนทั้งวันทั้งคืน ข่าวดีๆ เริ่มเข้ามาหาผมบ้างแล้ว ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้น
ผมก็ยังคงอยู่บ้านหลังเดิมครับ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติ เช้าก็ออกไปทำงาน เย็นกลับมาบ้าน แต่ก็รู้สึกบ้านมันวังเวง เย็นๆ ชอบกล ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ โทรหาลูกทุกวัน แกดีขึ้นสดใส ช่างคุยช่างพูดเหมือนเดิม ไม่เคยลุกมารำตอนดึกๆ อีกเลย.. แฟนผมก็เริ่มเดินได้แล้ว อยู่ในช่วงกายภาพบำบัด ทุกคนเริ่มดีขึ้นๆ แต่..
ผมกลับเริ่มแย่ลงครับ สุขภาพผมเริ่มแย่ เริ่มป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ กลางคืนเวลาผมนอน ผมจะสะดุ้งตื่นมาเกือบจะทุกๆ 5-10 นาทีตลอดทั้งคืน จนร่างกายผมเริ่มไม่ไหว เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ไปทำงานก็เอาแต่หลับ ไปหาหมอขอยานอนหลับมากินก็ไม่ช่วยอะไรเลย จนหลังๆ ผมเริ่มไม่โทรหาลูกหลายวัน เพราะไม่มีแรง จนแม่แฟนเริ่มโทรมาหาผมว่าเกิดอะไรขึ้น? ผมก็เล่าให้แกฟังไป แกก็ได้แต่ให้กำลังใจ ว่าผมคงเครียดมากไป พักผ่อนน้อย อย่ากังวลเรื่องลูกเมียไปเลย แกดูแลได้ ทางนั้นมีคนเยอะ.. ผมรู้สึกว่าผมไม่โอเคแล้วตอนนี้ ผมนอนหลับไม่ได้ ผมไม่มีแรงทำงาน ข้าวปลาไม่อยากกิน น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เช้าวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาเปิดคอมเพื่อเช็คงาน.. ปรากฏว่าผมได้เมลฉบับหนึ่งมา ชื่อมันคุ้นๆ เลยเปิดอ่านดู ใจความในเมลถามผมว่า ‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม? ตุ๊กตาที่ซื้อไปยังอยู่ไหม?’ ผมก็แค่อ่าน แต่ขี้เกียจตอบกลับ เพราะไม่มีอารมณ์จะทำอะไร.. 2 วันต่อมา ก็มีเมลมาอีกด้วยข้อความเดิม ผมชักสงสัยละ มันจะอะไรกับผมนักหนา ผมเลยตอบกลับไปว่า ‘I am fine, The puppet is fine too!’ (กูสบายดี ตุ๊กตาก็ยังอยู่ดี!)
วันต่อมา มันก็เมลมาอีกบอกว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ให้ขายตุ๊กตาตัวนั้นต่อซะ..’ ผมหัวเราะเลย บ้าหรือเปล่า อยู่ดีๆ เมลข้ามโลกมาเพื่อบอกให้ผมขายตุ๊กตาเนี่ยนะ? ผมเลยไม่ตอบกลับเมลของมันอีกเลย.. จนเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ อาการผมก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังคงหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน ร่างกายแทบยืนไม่ไหวละ จะน็อคให้ได้ ผมลางานไปเป็นอาทิตย์แล้ว ถ้าขาดอีก คงจะต้องโดนไล่ออก เลยพยายามฝืนสังขานไปทำงาน เพื่อนผมที่บริษัทเห็นผิดสังเกตเลยมาถามผม เพื่อนคนนี้ค่อนข้างสนิทกัน ครอบครัวเค้าเป็นพวกคนทรงเจ้า ตั้งศาล ดูฮวงจุ้ยอะไรแบบนั้น ผมก็เล่าให้มันฟัง มันบอกว่า งั้นวันเสาร์นี้ ขอมันกับป้ามันไปบ้านผมหน่อยได้ไหม? จะไปดูฮวงจุ้ยให้ฟรีๆ ผมก็ตอบตกลงไป
พอวันเสาร์ เพื่อนผมกับป้ามันก็มาที่บ้าน ผมเปิดบ้านต้อนรับ แล้วคุยกันพักหนึ่ง จากนั้นป้าแกก็ขอเดินดูบ้านหน่อย จะดูให้ว่ามีอะไรดีไม่ดี แล้วป้าเพื่อนผมก็เดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ สุดท้ายก่อนกลับ ป้าเพื่อนมาบอกผมส่วนตัวว่า บ้านผมมีของไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ในห้องอาหาร ให้รีบเอาไปทิ้งซะ ไม่งั้นจะเดือดร้อน อาจถึงชีวิตได้ ผมก็ถามป้าเพื่อนว่า มันคืออะไรครับ ป้าเพื่อนบอกว่า ‘ตุ๊กตาที่แขวนอยู่ที่ผนังนั่นน่ะ..’ ผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ คิดในใจ ‘ตุ๊กตาเนี่ยนะ จะทำอันตรายถึงชีวิต!?’ แต่ผมก็พยายามไม่เถียงอะไร แล้วไปส่งเพื่อนกับป้าที่หน้าบ้าน พอเสร็จก็เดินเข้ามาที่ห้องอาหาร หยิบตุ๊กตาลงมาจากที่แขวน มานั่งพินิจพิจารณา แล้วพูดกับตุ๊กตา ‘มึงเนี่ยนะ จะทำกูถึงชีวิต? ลองดูดิ ตัวแค่นี้นะ จะกระทืบให้แบนเลย!’ พูดจบก็จับมันไปแขวนไว้ที่เดิม แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองอีกหรือเปล่า เหมือนตุ๊กตามันจะแสยะยิ้มให้ผมอีกแล้ว.. และผมลืมคำแนะนำของป้าเพื่อน ผมไม่ได้เอาตุ๊กตาไปทิ้งตามที่บอก
หลังจากนั้นไม่นาน ตัวผมก็ดูเหมือนอาการจะเริ่มดีขึ้นแล้ว นอนหลับได้ตามปกติ ไปทำงานได้แล้ว แฟนผมก็เริ่มหายดี เดินได้ พูดได้ปกติ จนออกจากโรงพยาบาล แม่แฟนโทรมาบอกผมว่า อีกอาทิตย์จะพาแฟนกับลูกกลับมาหาผมที่บ้านละ ผมดีใจมากครับ ที่เรื่องร้ายๆ จะผ่านพ้นไปสักที ผมเริ่มถูบ้าน เก็บกวาดบ้าน เพื่อต้อนรับแฟนกับลูกสาว เก็บกวาดจนมาถึงห้องอาหาร ตาก็เหลือบไปเจอตุ๊กตานั่นอีกแล้ว แต่คราวนี้ ผมรู้สึกไม่ชื่นชอบมันแล้ว รู้สึกไม่อยากเห็นมันอีก เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมเลยพูดกับมันว่า ‘เบื่อแล้วว่ะ ไปนอนอยู่ในกล่องแล้วกันนะ..’ ผมเดินไปหากล่องเปล่าที่ห้องเก็บของ ได้กล่องใส่หม้อหุงข้าวมาใบนึง ผมเอาหม้อหุงข้าวออก แล้วเอาตุ๊กตาใส่แทน แล้ววางไว้ที่ห้องอาหารนั่นล่ะ.. เวลาผ่านไป จนแฟนและลูกสาวผมกลับมาบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี ไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายๆ อีกเลย..
จนถึงวันปีใหม่ ที่บ้านแฟนผมเค้าจะมีงานเลี้ยงกัน ซึ่งปกติผมต้องเป็นคนพาแฟนกับลูกไปทุกปี แต่ปีนั้นผมติดงานอะไรสักอย่างนี่ล่ะ เลยบอกแฟนว่า เดี๋ยวขอเคลียร์งานก่อน แล้วจะตามไปอีกวัน ให้แฟนขับรถพาลูกสาวล่วงหน้าไปก่อนเลย แฟนผมก็โอเค จัดแจงเก็บของ เตรียมขึ้นรถไปงานเลี้ยง แล้วแฟนก็ถามผมว่า ‘กล่องหม้อหุงข้าวที่อยู่ในห้องอาหารนี่ เรายังไม่เคยใช้เลยใช่ไหม?’ ตอนนั้นผมก็ยุ่งๆ เลยตอบว่า ‘ใช่แล้ว ซื้อมาก็เก็บไว้ตลอดเลยไม่เคยใช้’ แฟนบอก ‘งั้นขอเอาไปนะ เผื่อหุงข้าวทำอาหารอะไรให้เด็กๆ กิน’ ผมก็ตอบ ‘เอาไปเลยจ่ะ’ โดยที่ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าในกล่องมันไม่ได้มีหม้อหุงข้าวแล้ว..
หลังจากเก็บของเรียบร้อย แฟนก็ออกรถไป ผมปิดรั้วหน้าบ้านแล้วกลับเข้ามารีบทำงานต่อให้เสร็จทัน พรุ่งนี้จะได้ตามแฟนกับลูกไป.. เวลาประมาณเกือบๆ เที่ยงคืนเห็นจะได้ ผมได้รับโทรศัพท์จากแม่แฟน บอกให้รีบมาที่โรงพยาบาลแถวๆ อ่างทองด่วนเลย รถแฟนผมที่ขับไปถูกชน แฟนผมเจ็บหนักอยู่โรงพยาบาล ผมรีบทิ้งทุกอย่าง คว้ารถขับไปทันที.. ที่โรงพยาบาลกำลังวุ่นวายกันมาก กว่าจะจบเรื่องก็เกือบเช้า สรุปแฟนผมเข้าห้องผ่าตัดเพราะมีเลือดออกในช่องท้องจากแรงกระแทก ส่วนลูกสาวผมก็หนักไม่แพ้กัน..
ผมรอจนเช้า หมอออกมาบอกว่า แฟนผมปลอดภัยแล้ว แต่ลูกสาวผมไม่รอดแต่แรกแล้ว เพราะกระดูกคอแตก และมีเลือดออกในสมอง แกไม่ได้คาดเบลท์ ตัวเลยกระเด็นกระแทกกระจกอย่างแรงจนเสียชีวิต.. ได้ฟังแบบนั้นผมแทบบ้า พูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว ผมร้องไห้เหมือนคนเสียสติ จนญาติๆ แฟนมาช่วยกันปลอบจนดีขึ้น หลังจากสติกลับมา ผมก็เริ่มๆ ถามเหตุการณ์ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? สรุปคือ มีคนเมาขับกระบะแล้วผ่าไฟแดงมาชนรถแฟนผมอย่างจัง ไอ้คนเมาก็ตายคาที่ในที่เกิดเหตุ..
หลังจากงานศพลูกสาวผ่านไป แฟนผมยังคงรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ส่วนตัวผมต้องไป สน. ไปดูเรื่องคดีความ และรถ ตำรวจเอาของออกจากรถแฟนผมมาเก็บไว้ที่ สน. กันสูญหาย และให้ผมตรวจดูว่ามีอะไรขาดหายไปไหม ผมก็ตรวจดูข้าวของ มีเสื้อผ้าของแฟน ของลูกสาว ของเล่นเด็ก เห็นแบบนั้นทำผมน้ำตาร่วงออกมาอีกแล้ว จนผมได้พบกับกล่องหม้อหุงข้าว พอผมเปิดออกดูแล้วเห็นตุ๊กตานั่นนอนกองอยู่ในกล่อง สภาพใบหน้าที่เป็นกระเบื้องแตก คอหัก หน้าหันไปข้างหลัง สภาพไม่ต่างจากลูกสาวผมที่เสียไปเลย.. ตอนนั้นตัวผมนี่เย็นวาบ ผมจับหน้าตุ๊กตาและหมุนคอกลับมา เหมือนมันจะสะแหยะยิ้มให้ผมอีกแล้ว!! ผมปล่อยมันลงกล่อง และรีบใช้ตีนถีบกล่องให้ไปไกลๆ ตำรวจเดินมาถามว่าของครบไหม? ถ้าครบก็เซ็นเอกสารรับไป ผมพยักหน้าบอกครบครับ แต่กล่องหม้อหุงข้าวไม่ใช่ของผม คือตอนนั้นผมไม่อยากได้มันอีกแล้ว ตำรวจก็ให้ผมเซ็นรับของที่เหลือ แล้วเก็บกล่องหม้อหุงข้าวที่มีตุ๊กตาเข้าตู้เก็บหลักฐานและล็อกกุญแจไว้
ผมเดินถือของออกมาจาก สน. มานั่งในรถ คำพูดของป้าเพื่อนผมก้องอยู่ในหัว ‘ให้ทิ้งตุ๊กตานั่นซะ มันจะทำให้เดือดร้อน อาจจะถึงชีวิตได้..’ ผมเอามือปิดหน้าร้องไห้โฮ คิดโทษแต่ตัวเอง ว่าถ้าผมทิ้งไปตั้งแต่ตอนนั้น ลูกผมอาจจะไม่ตายก็ได้ เป็นเพราะผมเอง ผมไม่ฟังใคร ผมปล่อยโฮอยู่นาน หลังจากนั้นผมก็กลับมาบ้าน สงบสติอารมณ์อยู่นาน เวลาผ่านไปหลายเดือนจนเริ่มทำใจได้บ้าง ผมก็ไปเจอเว็บไซต์นึง ว่าด้วยสิ่งลี้ลับอะไรนี่ล่ะ แล้วบังเอิญได้ไปอ่านบทความที่เค้าเขียนถึงตุ๊กตาสาปแช่งของต่างประเทศ สรุปคร่าวๆ ได้ว่า ในบางประเทศ ถ้าเราเกลียดใคร หากนำตุ๊กตาสาปแช่งที่ภายในบรรจุด้วยธาตุอาถรรพ์ ไปให้เป็นของกำนันกับศัตรู แล้ว ศัตรูจะมีอันเป็นไป.. ผมย้อนคิดถึงตุ๊กตาตัวนั้นที่ผมซื้อมา ประติดประต่อเรื่องราว มันก็มีเค้าอยู่นะ เลยคิดเอาเองว่า ตุ๊กตาตัวนี้อาจเป็นตุ๊กตาสาบแช่งจริงๆ มันอาจตกทอดกันมาไม่รู้กี่ชั่วอายุคนแล้ว จนมาถึงมือฝรั่งคนที่ขายให้ผม แล้วมาถึงผม คนที่ซวยที่สุด! ผมหาเรื่องเข้าบ้านตัวเองแท้ๆ ผมเสียใจ น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง ‘ป๊าขอโทษ ป๊าทำให้หนูต้องตาย..’ แล้วผมไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย ถึงเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม ผมยังจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ดี ผมรื้อบ้านใหม่ ทุบตุ๊กตาทุกตัว ไม่อยากเห็นสภาพเก่าๆ อีกแล้ว และที่แน่ๆ ผมจะไม่ซื้อตุ๊กตา ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่าอีกต่อไปตลอดชีวิต ผมเกลียดตุ๊กตา มันพรากหัวใจผมไป..
อ้างอิงจาก: https://www.thehouse.online/story632/