ฟาร์มในสหรัฐฯล้มละลายพุ่งขึ้น 24% จากความเครียดเรื่องสงครามการค้าของทรัมป์กับจีน
สำนักข่าว บลูมเบิร์ก เสนอข่าวเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2019 นี้ ว่า
ฟาร์มในสหรัฐฯล้มละลายพุ่งขึ้น 24% จากความเครียดเรื่องสงครามการค้าของทรัมป์กับจีน
การล้มละลายของฟาร์มในสหรัฐฯในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 24% นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2011 ท่ามกลางสงครามการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์กับจีน และสภาพอากาศที่เลวร้าย
เกษตรกรยังคงต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านการค้าและโครงการอื่น ๆ จากรัฐบาลกลาง เพื่อหารายได้ ตามรายงานจากสมาพันธ์ฟาร์มแห่งอเมริกา (American Farm Bureau Federation) ซึ่งเป็นองค์กรฟาร์มทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
มีการบีบให้เกษตรกรในเขตเลือกตั้งที่สำคัญของทรัมป์ ย้ำคำนึงถึงอัตราภาษีตอบโต้จากจีน เนื่องจากทรัมป์จะเข้าร่วมในการรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งและเพื่อบรรเทาผลจากการลงมติถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ตัวเลขดังกล่าวยังเน้นถึงความสำคัญของข้อตกลง “ระยะที่หนึ่ง” ที่ฝ่ายบริหารกำลังเจรจากับปักกิ่ง เพื่อเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ถูกจีนตอบโต้เพื่อให้สหรัฐฯหยุดพักการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
เกือบ 40% ของกำไรของฟาร์มที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ จะมาจากความช่วยเหลือทางการค้า ความช่วยเหลือเนื่องจากภัยพิบัติ เงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง และการจ่ายเงินจากการประกันภัย ตามรายงานจากการคาดการณ์ของกระทรวงเกษตร จะคิดเป็นเงิน 33 พันล้านเหรียญ จากรายได้ที่คาดการณ์ไว้ที่ 88 พันล้านเหรียญ
สงครามการค้าและ 2 ปีติดต่อกันของสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้เกษตรกรประสบปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ
ตามบรรพที่ 12 ภายใต้บทบัญญัติล้มละลายที่ปรับให้เหมาะสมกับฟาร์ม ในการยื่นล้มละลายในระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน นี้ เพิ่มขึ้น 580 ราย จากปีก่อนหน้า ซึ่งการยื่นขอล้มละลายสูงที่สุด คือ 676 รายในปี 2011 สหพันธ์ กล่าวว่าทั้งหมดยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ คือในปี 1980
การล้มละลายครั้งล่าสุดนี้กระจุกตัวอยู่ใน 13 รัฐของเขตมิดเวสต์ ซึ่งเป็นสมรภูมิสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งนาข้าว ไร่ถั่วเหลือง ฟาร์มหมูและฟาร์มโคนม ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้า ซึ่งมีผู้ยื่นขอล้มละลายคิดเป็นมากกว่า 40% หรือ 255 รายอยู่ในภูมิภาคนี้