ศึกสิบสามห้าง บางลำพู
พุทธศักราช 2502
ถนนสิบสามห้างบางลำภูยุคนั้น เรียกได้ว่าเป็นศูนย์การค้าสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯเป็นต้นทางของรถเมล์หลายสาย มากไปด้วยร้านรวงทั้งที่จำหน่ายข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้าแพรพรรณ ร้านขายอาหารประเภทข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ และสินค้าอื่นๆอีกสารพัด สิบสามห้าง จึงเป็นชุมทางของการจับจ่าย ใครอยากได้อะไรก็มักจะมาซื้อกันที่นี่แหละ ขณะเดียวกัน
มันก็เป็นแหล่งชุมนุมอีกแห่งหนึ่งบรรดาวัยรุ่นที่ชอบมาเดินเตร็ดเตร่ดูโน่นดูนี่ และเลือกซื้อข่าวของที่ต้องการ
บางพวกก็นิยมปักหลักจับกลุ่มกันตามร้านข้าวแกงหรือร้านกาแฟ สั่งโอเลี้ยงคนละแก้วแล้วนั่งละเลียดซะครึ่งค่อนวัน
บ่ายจัด ปุ๊เจิด หรือปุ๊วงเวียนเล็ก เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดซึ่งทะมัดทะแมงอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนมัธยมวัดชิโนรส พร้อมด้วยเพื่อน
รุ่นราวคราวเดียวกันอีกสามคนเดินเอ้อระเหยลอยชายข้ามไปยังเกาะกลางถนนบริเวณเกาะกลางถนนนั่นแหละคือจุดหมาย
ของสี่วัยรุ่น เพราะมันแน่นไปด้วยร้านขายของกิน มีทั้งก๋วยเตี๋ยว กาแฟ โอเลี้ยง ข้าวราดแกง ขนูกขนมจิปาถะ แถมยังมี
ตู้เพลงตั้งไว้ให้หยอดเหรียญเลือกเพลงยอดนิยมถล่มรูหูชาวบ้านอีกต่างหากหลังจากที่บางคนหาซื้อผ้าสำหรับตัดกางเกงขายาว
ตัวเก่งตัวแรกในชีวิตสมใจ พวกเขาก็กะกันว่าจะกินข้าวซักจานแล้วขึ้นรถเมล์กลับบ้านย่านฝั่งธนบุรีพอก้าวหลุดเข้าไปในร้าน
ข้าวแกงทั้งสี่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของเด็กหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่งละเลียดอยู่ก่อนแล้วฝ่ายหลังมีเพียงสามหน่อและสองในสาม
ก็คือ แดง จากตรอกไบร์เล่ย์ กับเปี๊ยก เจริญพาสน์ หรือที่ปัจจุบันคนทั้งประเทศรู้จักกันในนาม พิศาล อัครเศรณี ผู้สร้างภาพยนตร์
และกำกับการแสดงชื่อดัง เปี๊ยกเป็นนักเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศน์ ซึ่งมองเห็นกำแพงอยู่ตำตา และมักมานั่งที่นี่ประจำ พร้อมด้วยแดง ไบร์เลย์ กับปุ๊ ตรอกสาเก รวมทั้งพวกพ้องคนอื่นๆ อีกมากหน้า ซึ่งวันนี้ออกจะแปลกไปบ้างที่มากันแค่สามและไม่มีปุ๊จอมซ่าร่วมทีม
แต่ถึงกำลังพลจะน้อยกว่า ทั้งสามซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าถิ่นบางลำภูก็ยังไม่วาย “เหล่” เด็กหนุ่มกลุ่มใหม่ด้วยสายตาที่หมิ่นเหม่ต่อการ
มีเรื่องตามประสาวัยรุ่นคะนองกับการมองแบบนั้น ปุ๊เจิดและพรรคพวกซึ่งแสบอยู่ในย่านวงเวียนเล็ก ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา
และก็ “เหล่” ตอบเข้าให้มั่ง
นั่นหมายถึงว่าศรศิลป์ไม่กินกันเข้าให้แล้ว ต่างฝ่ายต่างเหล่กวนอวัยวะเบื้องต่ำกันอยู่ไม่นาน เจตน์ หลังวัง หนึ่งในสี่วัยรุ่นต่างถิ่น
ก็ลุกขึ้นเดินไปถามเอาดื้อๆ
พวกนายสงสัยอะไรรึ”
สามเจ้าถิ่นลุกพรึ่บ อะไรไม่ว่า อีกฝ่ายก็เด้งตัวพรวดพราดลุกขึ้นอย่างพร้อมเพียงเช่นกันผู้คนในร้านและบริเวณใกล้เคียง
ต่างสะบัดหน้าเหลียวมองอย่างหวาดๆ เพราะสถานการณ์มันส่อชัดว่าความรุนแรงพร้อมที่จะระเบิดขึ้นได้ทุกกระพริบตา
ทั้งสองฝ่าย นิ่งขึงคุมเชิงกันอยู่ชั่วขณะ นายรุ่นท่าทางกวนๆ ซึ่งอยู่ฝ่ายแดง ไบร์เล่ย์กับเปี๊ยกเจริญพาสน์ ก็ลอยหน้าถาม
นายคงแน่ซีท่า ?
เจตน์ยักไหล่
ก็ไม่เชิงเพียงแต่เราไม่ชอบถูกมองแบบนี้”
พวกนายก็มองเราเหมือนกัน”
เฮ้ย อย่าพูดมากดีกว่า เสียเวลาเปล่า ถ้าข้องใจก็บอกมาเลย”
แดง ไบร์เลย์ ยกมือปรามพรรคพวกให้สงบปากสงบคำ กวาดตามองกำลังรบฝ่ายตรงข้ามในลักษณะชั่งใจ ก่อนเอ่ยเสียงเคร่ง
ข้องใจแน่ แต่วันนี้เราไม่พร้อม”
อ๋อ เจตน์ลากเสียง....นายเห็นพวกเรามากกว่ากระมัง?
เรามีเหตุผลอื่น นายมาวันหลังสิ”
ขาดคำ ปุ๊วงเวียนเล็ก ร้องสวนขึ้นทันควัน
เมื่อไหร่ ?
วัยรุ่นห้าวจากตรอกไบร์เล่ย์ ฉวัดสายตาคมวาวมองเจ้าของเสียงถามแล้วตอบสั้นๆชัดคำ
พรุ่งนี้”
เวลาล่ะ”
ก็แล้วแต่พวกนายจะสะดวก มาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รับรองได้เจอกันแน่
ดี…” ปุ๊เจิดแค่นคำรามกระหึ่ม “..นายจะให้เรามาเจอที่ไหน?”
แดง ไบร์เล่ย์ เหยียดนิ้วชี้ปักลงพื้น
ที่นี่แหละ
ตกลงเตรียมตัวรับก็แล้วกัน”
ไม่ต้องห่วง ขอให้มาจริงเถอะ”
นายคอยดูเอาเอง แล้วจะรู้ว่านายปุ๊น่ะของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์”
เราก็อยากเห็นอยู่เหมือนกัน”
นายได้เห็นแน่นอน เอาละ พวกเรากลับ หมดอารมณ์จะกินซะแล้วว่ะ”
ตอนท้าย เขาร้องบอกพรรคพวกร่วมทีมแล้วหมุนตัวก้าวนำกลุ่มผละออกจากร้าน
ส่วนสามวัยรุ่นเจ้าถิ่นก็ทรุดนั่งลงที่เดิม
บรรยากาศตรึงเครียดผ่อนคลาย และกลับคืนเข้าสู่ความสงบอีกครา
ทว่า มันเป็นความสงบก่อนพายุกล้าที่รุนแรงร้ายกาจสุดยอด
เพราะพรุ่งนี้ อีกไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง คือ
บ่ายวันต่อมา
เปลวแดดกำลังเริงแรงเต้นเป็นตัวระยิบขณะที่รถประจำทางซึ่งข้ามมาจากฝั่งธนบุรี เบี่ยงลำเข้าจอดป้ายริมถนนสิบสามห้าง
ล้อยางใหญ่เทอะทะยังไม่ทันหยุดสนิทด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็กรูเกรียวตามกันลงจากรถอย่างกระเ!้ยนกระหือฮีก นับจำนวนได้ถึงสิบสองนายและนั่น….......คือกำลังพลฝ่ายปุ๊ วงเวียนเล็ก ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกว่า ปุ๊ วัดมอญ ที่รวบรวมระดมกัน
มาตามคำท้าทายวันวาน แน่นอนมาเพื่อรบ อาวุธที่พกพาติดตัวส่วนใหญ่จะเป็นมีดสนับมือ และท่อนไม้ ปีนไม่ต้องพูดถึง
มันเกินขีดความสามารถของวัยรุ่นระดับนี้ ที่จะซื้อหามาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรง ทันทีที่ลงจากรถครบคน ปุ๊ วัดมอญ พร้อมด้วยคู่หู
เจตน์ หลังวัง และ แมว หลังวัง ผู้น้องก็นำทีมเคลื่อนขบวนข้ามถนนตรงไปยังร้านขายของกินบนเกาะกลางอย่างไม่รอช้า
ซึ่งความเคลื่อนไหวทุกระยะนับตั้งแต่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ปรากฎตัว ไม่ได้คลาดไปจากสายตาของ แดง ไบร์เล่ย์ กับ เปี๊ยก เจริญพาสน์ และบรรดาพลพรรคจำนวนทัดเทียมกัน ฝ่ายหลังนั่งละเลียดโอเลี้ยงรอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะใกล้ๆ ตู้เพลงในร้านและก็เช่นเดียวกับวันก่อน
ตรงที่ไม่มีปุ๊ ตรอกสาเก หนึ่งในจำนวนเจ้าถิ่นบางลำภูอยู่ร่วมทีม พอฝ่ายแรกก้าวล่วงเข้าใต้ชายคา ทุกคนก็ลุกพรึ่บ อากาศร้อนระอุ
ราวจะร้อนคลั่งขึ้น อีกเป็นทวีคูณ พ่อค้าแม่ขายในร้านรวงข้างเคียงที่พอจะรู้เรื่องราวการนัดหมายวันก่อนอยู่บ้าง ต่างเหลียวซ้ายแลขวา
กันเลิ่กลั่ก แน่นอน ย่อมหวาดฟวากันไปทั้งเทือก เพราะรูปการณ์มันบอกชัดว่าที่จะอุบัติขึ้นในอีกไม่นานเกินรอคือความรุนแรงสุดยอด
เพียงชั่วไม่กี่กระพริบตา นักสู้วัยคะนองทั้งสองกลุ่มก็ประจัญหน้ากันในระยะที่พร้อมจะโลดเข้าห้ำหั่นฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่ทัน
ได้เปิดฉากตะลุมบอน แดง ไบร์เล่ย์ ก็ยกมือขึ้นร้องบอก
เดี๋ยว ขอคุยกันก่อน”
กองทัพรบวัยรุ่นจากคนละฟากฝั่งเจ้าพระยาชะงักหยุดกึก
เจตน์ หลังวัง หันมาเลิกคิ้วกับปุ๊ วัดมอญ ซึ่งอยู่ในฐานะแม่ทัพ
ว่าไง”
จอม!วแห่งย่านวงเวียนเล็กยักไหล่พรืด
เอ็งคุยกะมันเซ่ะ ข้าพูดไม่เป็น และก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วย”
เจตน์ไหวตัวสืบเท้าล้ำแถวไปข้างหน้า ขณะที่แดงก้าวออกมาจากกลุ่มเพื่อเจรจากัน ปุ๊ วัดมอญ เชิดหน้าเมินมองไปทางอื่น
อย่างไม่แยแสและไม่สบอารมณ์ หากเปรียบกับตัวละครในเรื่องสามก๊กเขาก็เป็นคนประเภทเตียวหุย ไม่เคยใช้การฑูตนำทัพ
ลงได้ผิดหัวใจแล้วก็ไม่หวังจะประนีประนอม
ผมจะรบมันลูกเดียว
แต่ทั้งๆที่ไม่อยากใส่ใจกับการพูดคุยสองหูของปุ๊ก็ได้ยินคำสนทนาโต้ตอบอย่างชัดเจนมันเริ่มจะมีแนวโน้มเอนเอียงไปในทางไกล่เกลี่ย
รอมชอมและอย่าศึก เรียกว่าจะไม่หักกันละ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับเป้าประสงค์และความรู้สึกของเขาอย่างแรงอุตส่าห์ระดมพลช้ามเจ้าพระยา
บุกมาถึงบางลำภู จะเลิกราถอยกลับง่ายๆ ได้ยังไง? เพราะมันไม่เพียงแต่จะเสียความตั้งและเสียเวลาเท่านั้น เสียดายค่ารถเมล์ด้วยว่ะ
ประการสำคัญ เขาเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอง้างนกแล้วต้องยิง ดังนั้น พอเห็นท่าว่าจะตกลงปรองดองกันได้ ปุ๊ วัดมอญก็ร้องขัดจขึ้น
เลิกพูดกันดีกว่าเจตน์ถอยออกมาก่อน”
เจตน์ หลังวัง ลากก้าวถอยกลับเข้ากลุ่มตามคำ แล้วนิ่งหน้าตวัดเสียงกังขา
ทำไมรึ”
พูดกันยืดยาวเสียเวลาเปล่า ข้าจะสรุปให้เอง”
ก็เอาซี”
ข้าขอพูดคำเดียวสั้นๆ”
ว่าไงล่ะ”
หน่วยตาของจอม!วจากฝั่งธนบุรี วาบประกายวาวจ้าพร้อมกับการทิ้งเสียงเฉียบ
ตี”
ขาดคำ แดง ไบร์เล่ย์ กระชากเสียงสวนอย่างดาลเดือด
นายว่าไงนะ”
แทบไม่ทันขาดเสียงถาม ทั้งวัยรุ่นจากฝั่งธนบุรีและเจ้าถิ่นบางลำภู กระตุกอาวุธประจำกายกระชับมือทะยานเข้าหาปรปักษ์อย่าง
ไม่สะทกสะท้านพรั่นพรึง ความชุลมุนวุ่นวายโกลาหลอลหม่านระเบิดขึ้นในฉับพลันทันใดบรรดาพ่อค้าแม่ขายรวมทั้งผู้คนที่แวะเข้ามา
นั่งสั่งของดื่มกินแก้หิว ต่างเผ่นกระเจิงหนีลูกหลงกันจ้าละหวั่นเสียงเอะอะมะเทิ่ง เสียงอุทานตื่นตระหนกและเสียงผู้หญิง
ขวัญอ่อนกรีดร้องหวีดว้ายประสานกันแซ่แซ่ว คละเค้าไปกับเสียงฝีเท้าสับสนและเสียงโต๊ะถูกชนกระแทกล้มโครมครามตึงตังสนั่นหู
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มนกบู๊กว่ายี่สิบก็ตีรันฟันแทงกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านไม่มีใครยอมใคร เสียงสบถด่าโกรธเกรี้ยว เสียงผัวะตุ้บตั้บสลับกับเสียงไม้และเก้าอี้ที่หวดพลาดเป้า กระหน่ำเอาหม้อชามรามไห แผงขายข้างแกงและกระจกในปริมณฑล
ของการโรมรันพันตู ดังเปรื่องปร่างฉ่างโฉ่งไม่ขาดระยะ ตู้เพลงที่เคยหยอดเหรียญฟังกันประจำ ก็เจอเข้าเต็มๆ ถึงกับแหลกวินาศยับเยิน
หลายคน ฝลัดกันร่อนออกจากวงอย่างไม่เป็นท่า และแล้วก็โลดกลับเข้ามาใหม่ด้วยหัวใจเกินร้อยบางรายที่เจอเข้าหนักๆ
และถอดใจเปิดหนีก็มีเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ยังนัวเนียชุลมุนหวดซ้ายป่ายขวาอยู่จนกระทั่งมีเสียงใครไม่รู้แผดตะโกนลั่น
เฮ้ย ! ตำรวจมา
นั่นแหละทั้งสองฝ่ายถึงได้หยุดมือผละแยกจากกันโดยอัตโนมัติ แดง ไบร์เล่ย์ ซึ่งมีร่องรอยถลอกปอกเปิกฟกช้ำดำเขียวหลายแห่ง หอบหายใจหนักๆพลางแฉลบตามองผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในเครื่องแบบสองสามนายที่ห้อเหยียดตามกันมาไกลลิบ แล้วแค่นเสียงบอกฝ่ายตรงข้าม
พอก่อน ถ้าแน่จริงพรุ่งนี้พวกนายมาใหม่ก็แล้วกัน
ปุ๊ วัดมอญ จอม!วจากฝั่งธนบุรีซึ่งเจ็บตัวไม่แพ้กันดีดปลายคิ้วซ้ายขึ้นเล็กน้อย
ที่นี่รึ ?
ใช่ ที่เก่าเวลาเดิม”
ได้
จบคำ ทั้งเจ้าถิ่นและฝ่ายบุกรุกต่างก็แยกย้ายสลายตัวออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วกว่าโปลิศจะมาถึง เหล่าวัยรุ่นอันตราย
ก็วิ่งปะปนกับผู้คนหายหน้าไปเรียบวุธ ที่เหลือไว้ดูต่างหน้าก็คือความพินาศแหลกรานของทรัพย์สินร้านรวงบริเวณนั้น ซึ่งเจ้าของผู้เคราะห์ร้ายไม่รู้จะไปเรียกร้องเอาค่าเสียหายได้จากใครและที่ยิ่งไปกว่านั้น ศึกสิบสามห้างยังไม่จบมันยังมีต่อ
วันที่สอง
ปุ๊ วัดมอญ หรือปุ๊ เจิดก็คุมสมัคพรรคพวกนักบู๊ชุดเก่ามาตามคำท้าทายโดยไม่บิดพลิ้ว
ก็ใจมันรักซะอย่าง
ทางด้านเจ้าถิ่นก็ใช้กำลังพลชุดเดิม ซึ่งไม่มีปุ๊ ตรอกสาเก ที่เคยเป็นหัวหอกทุกงานวัยรุ่นเลือดเดือดทั้งสองกลุ่ม ระเบิดศึกตึกันสนั่นบางลำภูอีกเช่นเคยและก็ลงเอยด้วยการเผ่นหลบผู้รักษากฎหมายเอาตัวรอดไปคนละทิศละทางเหมือนวันก่อน
แต่ก็ไม่ลืมนัดหมายห้ำหั่นกันให้เห็นดีเห็นแดงเป็น
วันที่สาม
ทว่า หนนี้ตำรวจรู้แกวและวางกำลังไว้เตรียมรับมือพร้อมพรักพอเปิดฉากตะลุมบอน โปลิศก็กรูเกรียวเข้าระงับเหตุและไล่จับกันอลหม่าน
หลายคนถูกจับบางคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ส่วนใหญ่เผ่นหนีเอาตัวรอดแคล้วคลาดไปได้ศึกสิบสามห้างก็เป็นอันยุติ
แต่เรื่องร้ายก็ใช่ว่าจะจบสิ้นลงตรงนี้
มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง