การตายที่ยังคงเป็นปริศนาจนมาถึงทุกวันนี้ คดีปริศนาที่เขาดยัตลอฟ
The dyatlov pass incident - คดีการตายปริศนาที่เขาดยัตลอฟ
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับนักปีนเขาและนักสกีจำนวน 9 คนได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนาบนภูเขาดยัตลอฟ โดยตั้งอยู่ที่เทือกเขาอูราล และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ โดยในการผจญภัยของพวกเขาในครั้งมีจุดหมายปลายทางคือภูเขาโอทอร์เทน โดยจะต้องใช้ระยะทางราว 6 ไมล์ในการเดินทาง ซึ่ง โอทอร์เทน (Otorten) นั้นเป็นภาษาพื้นเมืองของชาว Mansi ที่มีความหมายว่า ภูเขาของคนตาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่สามารถไปถึงยังที่หมายนั้นได้
การผจญภัยของพวกเขาในครั้งนี้มีผู้นำคือ อิกอร์ ดยัตลอฟ ชายชาวรัสเซียซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 23 ปี และเพื่อนร่วมคณะในการเดินทางครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 10 คน โดยแต่ละคนนั้นไม่ใช่มือใหม่แต่อย่างไรพวกเขาเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ในการปีนเขามาอย่างโชคโชน และก่อนออกผจญภัยพวกเขาได้มาถึงยังหมู่บ้านวิซไฮ โดยที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นผจญภัยขึ้นเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้
ด้วยความโชคดีหรือความบังเอิญของหนึ่งในคณะเดินทางแต่ ยูริ ยูดิน หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางได้เกิดการป่วยขึ้นอย่างกะทันหันในวันที่ 28 มกราคม เขาจึงจำเป็นต้องถูกทิ้งไว้ที่หมู่บ้านก่อนที่คณะเดินทางคนอื่นๆ จะผจญภัยต่อไปบนเขา และยูริ ก็คือคนเดียวในคณะเดินทางนี้ที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ปริศนาในครั้งนี้ คณะเดินทางที่เหลือเดินทางมาถึงภูเขา Kholat Syakhl ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งชื่อภูเขาลูกนี้ได้เปลี่ยนชื่อในภายหลังเป็น ภูเขายัตลอฟ (Dyatlov) ตามชื่อของผู้นำทีม อิกอร์ ดยัตลอฟ เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
และสถานที่แห่งนี้เองที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก พวกเขาต้องเจอกับพายุหิมะที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเขามองไม่เห็นทางข้างหน้าและหลงทางในที่สุด ทั้ง 9 คนจึงตัดสินใจที่จะตั้งแคมป์เพื่อรอให้พายุหิมะนั้นหยุดลง แต่ถึงอย่างนั้นมีหลายคนตั้งข้อสังเกตในการตั้งแคมป์ในครั้งนี้ของพวกเขา เพราะจากจุดที่พวกเขาได้ตั้งแคมป์นั้นห่างจากป่าเพียง 1.5 กิโลเมตรเท่านั้นแล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ตั้งแคมป์ในป่า เนื่องจากมีความอบอุ่นที่มากกว่าพื้นที่โล่ง
จนกระทั่งถึงกำหนดการกลับของคณะเดินทางทั้ง 9 คนในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่ในวันนั้นทั้งวันกลับไร้ซึ่งวี่แววว่าจะมีใครเดินทางลงมาจากภูเขา แต่ในเรื่องของความล่าช้าในการเดินทางนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ทำให้เพื่อนๆ ที่มานั่งรอคอยการกลับมาของพวกเขาทำใจรอจนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จึงค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นอย่างแน่นอน เหล่าหน่วยกู้ภัยจึงได้เริ่มออกสำรวจคณะเดินทางของดยัฟลอฟทันที
จนในที่สุดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เหล่าหน่วยกู้ภัยก็ได้พบกับเต็นท์ของคณะเดินทาง แต่สิ่งที่หน่วยกู้ภัยพบคือเต็นท์ที่อยู่ในสภาพยับเยิน และมีร่องรอยของการฉีกขาดที่มาจากด้านใน สิ่งของต่างๆ ยังคงอยู่ในเต็นท์แต่ผู้ร่วมชะตากรรมทั้ง 9 คนไม่มีใครยังคงอยู่ในเต็นท์นั้นเลยแม้แต่คนเดียว หน่วยกู้ภัยจึงเริ่มค้นหาร่องรอยโดยรอบบริเวณนั้นจนไปในป่า และในที่สุดก็พบกับร่างของคณะเดินทาง 2 คนที่เหลือเพียงชุดชั้นในนอนเป็นศพจมอยู่ภายใต้หิมะ พร้อมกับซากกองไฟที่เคยให้ความอบอุ่นกับพวกเขา
มันทำให้เกิดคำถามขึ้นทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาจึงทำให้เต็นท์อยู่ในสภาพเช่นนั้น และทำไม 2 คนนี้ถึงได้เหลือแต่ชุดชั้นใน รวมถึงกิ่งไม้สนที่หักอยู่บริเวณใกล้เคียงที่เป็นของต้นสนสูง 5 เมตร จึงสันนิธานได้ว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่งปีนขึ้นไปเพื่อตรวจสอบอะไรบ้างอย่าง และในบริเวณใกล้เคียงกันนั้นเอง หน่วยกู้ภัยก็ได้พบกับศพของคณะเดินทาง 3 คน ที่ดูเหมือนว่าเขาทั้ง 3 คนกำลังเดินกลับไปที่เต็นท์ โดยทั้งหมดที่พบนี้ปราศจากร่องรอยบาดแผล สาเหตุที่เสียชีวิตคือความหนาวเย็น
หน่วยกู้ภัยยังคงทำงานต่อไปและในที่สุด 2 เดือนหลังจากนั้นในวันที่ 4 พฤษภาคม ก็ได้พบกับ 4 คนที่เหลือเป็นศพจมอยู่ภายใต้หิมะที่หนา 4 เมตรในป่า โดยภายนอกร่างกายของพวกเขาปราศจากร่องรอยบาดแผล แต่พวกเขาได้รับความบอบช้ำภายในอย่างรุนแรง กะโหลกร้าวและซี่โครงหัก แพทย์ที่ชันสูตรศพให้ความเห็นว่าสภาพที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงโดยเฉียบพลันเช่นการถูกรถชน และที่น่าแปลกคือ 1 ในสมาชิกถูกพบว่าลิ้นได้หายไป
สิ่งที่น่าสงสัยคือทั้ง 4 ศพที่พบภายหลังนั้นแต่งกายด้วยเสื้อกันหนาวปกติ แตกต่างจาก 5 ศพแรกที่พบและที่สำคัญคือการตรวจพบว่าเสื้อผ้าของพวกเขาปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้นอีกด้วย คดีนี้ถูกปิดเป็นความลับในปี 1959 ทั้งเอกสารคดีและรูปถ่ายถูกเก็บไว้ จนกระทั่งใน 30 ปีต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 ได้ถูกนำมาเปิดเผยอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นคดีการตายที่มีความลึกลับที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ยังคงไม่มีใครสามารถอธิบายสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเต็นท์ที่ถูกกรีดจากภายใน ร่างกายที่ไม่มีรอยแผลแต่บอบช้ำภายในกลางภูเขาหิมะ ทำไม่ถึงมีแต่ชุดชั้นใน และทำไมถึงมีสารกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้นบนเสื้อผ้าของพวกเขา