การล่มสลายของ "ราชวงศ์มังราย"
การล่มสลายของ "ราชวงศ์มังราย" มูลเหตุเบื้องต้นเริ่มจาก..
.
ในปี พ.ศ.2066 สมัยหมื่นคำพากินเมืองเชียงราย พระญาแก้ว (กษัตรย์ล้านนา รัชกาลที่ 11 พ.ศ.2038-2068) ส่งกองทัพกว่าสองหมื่นคนไปรบเชียงตุง เพื่อสถาปนาท้าวเชียงคงครองเมือง หมื่นคำพาและหมื่นขวานำไพร่พลชาวเชียงรายเข้าร่วมกับทัพหลวง ซึ่งบัญชาการโดยแสนยี่พิงค์ไชย สงครามครั้งนี้ล้านนาพ่ายหมดรูป ขุนนางระดับสูงหลายคนเสียชีวิต รวมทั้งหมื่นคำพาและหมื่นขวา การสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถ ประกอบกับอุทกภัยในปลายสมัยพระญาแก้ว ทำให้อาณาจักรอ่อนแอลง
.
ราชวงศ์มังรายตอนปลาย บทบาทขุนนางเพิ่มสูงขึ้นและคุกคามอำนาจของกษัตริย์ เหล่าเสนาอำมาตย์แตกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ซึ่งต่างสนับสนุนเจ้านายของตนให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ เนื่องจากจารีตล้านนาถือเรื่องเชื้อสายเป็นสำคัญ บุคคลในราชวงศ์มังรายเท่านั้นจึงจะครองราชย์ได้ ดังนั้น แม้ขุนนางมีอำนาจล้นฟ้า แต่ทำได้เพียงชักใยกษัตริย์อยู่เบื้องหลังเท่านั้น
.
ความไม่สมานฉันท์เพิ่มสูงขึ้นในสังคมจนถึงขั้นทำสงครามกลางเมือง พ.ศ.2088 ที่เชียงใหม่ แสนคราว พร้อมพวกได้สังหารพระญาเกศ กษัตริย์ล้านนา และเชิญให้เชื้อพระวงศ์มังรายสายเมืองนายขึ้นครองราชย์ ขณะเดียวกัน หมื่นแก้ว เจ้าเมืองเชียงรายร่วมกับเจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองพาน และเจ้าเมืองลำปาง เคลื่อนไหวต่อต้านพรรคแสนคราว หมื่นแก้วและขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้เป็นพวกพระนางจิรประภา พระมเหสีของพระญาเกศ
.
เมื่อพวกหมื่นแก้วกวาดล้างขุนนางเชียงใหม่กลุ่มแสนคราวแล้ว ก็ได้เชิญพระไชยเชษฐาจากล้านช้างมานั่งบัลลังก์ล้านนา ด้วยมีเชื้อสายราชวงศ์มังรายครึ่งหนึ่ง กล่าวคือ พระนางยอดคำทิพย์ พระราชมารดาของพระไชยเชษฐา เป็นเจ้าหญิงเชียงใหม่ ขณะรอการเสด็จมาของผู้ปกครองคนใหม่ ขุนนางยกพระนางจิรประภาเป็นกษัตริย์ระหว่าง พ.ศ.2088~2089
.
หลังครองราชย์ พระไชยเชษฐาตั้งหมื่นสามล้านอ้ายเป็นพระยาสามล้านลือไชย เจ้าเมืองเชียงราย หมื่นสามล้านอ้ายผู้นี้เคยครองเมืองลำปางและช่วยหมื่นแก้วโค่นล้มกลุ่มแสนคราว นอกจากนี้ สมัยพระนางจิรประภา หมื่นสามล้านอ้ายยังมีผลงานในสงครามกับกรุงศรีอยุธยา โดยพระไชยราชานำทัพเข้าตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.2089 หมื่นสามล้านอ้ายบัญชาการรบบริเวณแจ่งหัวลินด้านตะวันตกของเวียงเชียงใหม่ แม่ทัพนายกองและไพร่พลชาวสยามโดนฆ่าตายจำนวนมาก กรุงศรีอยุธยาพ่ายแพ้แก่ล้านนา พระไชยราชาบาดเจ็บสาหัสจำต้องถอยทัพกลับ
.
พระยาสามล้านลือไชยครองเมืองเชียงรายจนถึงสมัยพระญาแม่กุ (พ.ศ.2094~2107) เชียงใหม่มีความสัมพันธ์กับเมืองนายอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก พระญาแม่กุเคยกินเมืองนาย ก่อนขุนนางจะเชิญขึ้นครองราชย์ต่อจากพระไชยเชษฐา ซึ่งสละราชสมบัติกลับไปครองล้านช้าง ทำให้ตำแหน่งกษัตริย์ว่างลงถึง 4 ปี ระหว่าง พ.ศ.2090~2094 อย่างไรก็ตาม พระญาสามล้านลือไชยและเจ้าเมืองเชียงแสน ผู้ฝักใฝ่ล้านช้าง ยังไม่เห็นด้วยกับการยกบัลลังก์ให้พระญาแม่กุ ในปี พ.ศ.2094 เจ้าเมืองนายร่วมกับเจ้าเมืองเชียงทองจึงตีเชียงแสนและเชียงราย พระญาสามล้านลือไชยหนีขึ้นไปตั้งมั่นบนดอยปทุม ทหารฝ่ายเมืองนายไม่สามารถจับกุมตัวได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระญาล้านลือไชยตัดสินใจยอมลงจากดอยและเดินทางไปเข้าเฝ้าพระญาแม่กุ ณ เมืองเชียงใหม่
.
พ.ศ.2098 กองทัพล้านช้างตีเมืองเชียงแสน เพราะเจ้าไชยเชษฐาเห็นว่าพระญาแม่กุนั่งบัลลังก์โดยพระองค์ไม่เห็นชอบ เจ้าเมืองนายนำไพร่พลช่วยพระญาแม่กุขับไล่ทหารลาวออกไป ศึกครั้งนี้เชียงรายเป็นฐานที่มั่นของทหารจากเมืองนาย ขณะที่ฝ่ายล้านช้างตั้งค่ายอยู่บริเวณเมืองเชียงแสน
.
แผ่นดินล้านนาต้องเผชิญหน้ากับกองทัพต่างแดนหลายครั้งในสมัยราชวงศ์มังรายตอนปลาย กระทั่งพระเจ้าบุเรงนองตีเชียงใหม่แตกในปี พ.ศ.2101 โดยพม่าใช้เวลาล้อมเมืองเพียง 3 วัน 3 คืน ขณะที่ราชธานีประสบภัยสงคราม เชียงรายและเมืองอื่นๆ มิได้ยกทัพไปช่วย แสดงถึงความเสื่อมของศูนย์กลางอำนาจ เนื่องจากปัญหาภายในรุมเร้า เช่น การเมืองขาดเสถียรภาพ เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น ทำให้อาณาจักรสลายตัวกลายเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยและไม่สามารถรวมตัวกันได้อีกเลยจนถึงปัจจุบัน
.
ภาพประกอบ : ผาคันตุง เมืองห้วยซาย แขวงบ่อแก้ว
สกราชได้ 917 ตัว (พ.ศ.2098) ปีดับเม้า พระยาอุปโยยกกำลังลุกล้านช้างขึ้นมาของเวียงเชียงแสนที่นี้ อยู่นานได้ 3 ปีปลาย 7 เดือน ค็บ่ได้เชียงแสนแล้วค็คร้านพ่ายหนีไปถึงหัวเชียงของ แล้วค็ไปสลักหินเป็นพระพุทธรูปเบ่นหน้าล่องใต้ห้ามทางไว้ที่นั้น
ข้อมูลจาก อ.อภิชิต ศิริชัย นักประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย, สนพ ล้อล้านนาเชียงราย