ย้อนรอย #วิปลาส จากข่าวสะเทือนขวัญ 14 ปีก่อน สู่อาถรรพ์ที่โด่งดังในทวิตเตอร์ขณะนี้
สวัสดีครับ กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากสำหรับแฮชแท็ก #วิปลาส ทางทวิตเตอร์ ที่พูดถึงเรื่องราวความอาถรรพ์ที่เหล่านักศึกษาได้พบเจอ ระหว่างการเตรียมงานละครเวทีชื่อ "วิปลาส" ละครเวทีประจำปีของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยละครเวทีเรื่องนี้ บทละครได้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริงที่เป็นข่าวดังที่เกิดขึ้นเมื่อ 14 ปีก่อน
"วิปลาส" เป็นข่าวดังในปี พ.ศ.2547 เมื่อครอบครัวที่ดำรงอยู่อย่างเรียบง่ายและสมถะในสวนมะพร้าว อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ครอบครัวที่เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้าน ก่อเหตุสะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ ด้วยการฆ่าปาดคอลูกสาววัย 12 ขวบ เพราะเชื่อว่าจะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย แล้วดวงวิญญาณของเด็กจะไปสู่สรวงสวรรค์ภายใต้การดูแลของพระอินทร์ จนโยงไปสู่เหตุผลที่แท้จริงของการฆ่าที่หลายคนต้องเสียน้ำตา
เรื่องมีอยู่ว่าบ่ายวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ตำรวจ สภ.ดำเนินสะดวก ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมในบ้านหลังหนึ่ง จึงเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุและต้องพบกับภาพอันชวนตกตะลึง เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของเด็กวัย 12 ปี นอนสิ้นลมหายใจอยู่กลางบ้านท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง บริเวณลำคอถูกของมีคมปาดจนหลอดลมขาด เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง กลางบ้านมีโต๊ะวางอยู่คล้ายกับกำลังทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ มีเส้นผมจำนวนหนึ่งถูกแช่น้ำอยู่ในกะละมัง เสื้อผ้าถูกนำไปเผาทิ้ง และมีดอีโต้เปื้อนเลือดตกอยู่ใกล้ๆ ศพ
ระหว่างที่กำลังพบศพนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับได้ยินเสียงสวดมนต์ด้วยภาษาบาลีเล็ดลอดออกมาจากประตูของอีกห้องหนึ่งในบ้านหลังนั้น ด้วยความงุนงงสงสัยตำรวจจึงพยายามเรียกให้คนข้างในเปิดประตู แต่ไม่เป็นผลจึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป จึงพบผู้หญิง 4 คนกำลังสวดคาถาด้วยถ้อยคำที่จับใจความไม่ได้ ทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน ทันทีที่เห็นตำรวจทุกคนก็ด่าทอขับไล่ตำรวจ แล้วคว้ามีดไล่ฟันจนเกิดความโกลาหลขึ้น
เพราะเวลานั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะตำรวจเท่านั้น แต่ยังมีไทยมุงอีกจำนวนมากที่ตามมาดู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านที่ต่างรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวนี้ทั้งสิ้น โดยเพื่อนบ้านได้เล่าว่า ผู้หญิงทั้ง 4 คนนั้นคือ ยาย ป้า น้า และแม่ ของเด็กอายุ 12 ปีที่เสียชีวิต ต่างแตกหนีกระเจิงไปในสวนมะพร้าวคนละทิศละทาง บางคนล้มลุกคลุกคลาน ตกน้ำตกท่าลงไปในคูร่องสวน ได้แผลเปิดเปิงกันไปพอหอมปากหอมคอ หลายคนพยายามเรียกชื่อให้คืนสติ แต่เหมือนกับยิ่งยั่วยุมากขึ้นๆ จนตำรวจต้องใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ในที่สุด
ส่วนหนึ่งของภาพข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น
นายบุญสม พูลสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ที่มีบ้านถัดออกไปจากหลังที่เกิดเหตุเพียง 500 เมตรเล่าว่า.. "ผู้หญิงสี่พี่น้องมีความเชื่อเรื่องการบูชาพระอินทร์มานานแล้ว เขาเคยมาชวนชาวบ้านละแวกนี้ให้มาร่วมทำพิธีกรรมต่างๆ หลายครั้ง เด็กอายุ 12 ปีที่เสียชีวิตเองก็เป็นลูกของ 1 ใน 4 ผู้หญิงดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุทั้ง 4 กำลังเข้าทรง แล้วสั่งไปตัดต้นมะพร้าวในสวนให้หมด จากนั้นให้ฆ่าลูกสาวตัวเองเพื่อทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณ เพราะเชื่อว่าเด็กคนนี้นำความชั่วร้ายติดตัวมาด้วย จึงต้องฆ่าเสีย"
ผู้ใหญ่บุญสมเอง ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านที่ได้รับการชักชวนจากกาญจนา โดยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2547 หรือ 2 วันก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณตี 3 ได้มาตามที่บ้านผู้ใหญ่บุญสม เขาเข้าใจว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นจึงเดินตามไปที่บ้าน เมื่อขึ้นไปชั้นบนก็สังเกตเห็นโต๊ะหมู่บูชา อนงค์บอกให้นั่งหลับตาทำสมาธิ เพราะตัวเขาเคยทำร้ายพระอินทร์ในชาติภพก่อน ผู้ใหญ่บุญสมได้แต่นั่งหลับตามั่งลืมตามั่ง พอเห็นท่าไม่ดีเลยขอตัวกลับบ้าน
เรื่องน่าจะจบลงแค่นั้น ทว่าคืนต่อมาเวลาประมาณ 4 ทุ่ม 1 ในผู้หญิงบ้านดังกล่าวกลับมาหาผู้ใหญ่บุญสมอีกครั้ง ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้จึงปฏิเสธไป กระทั่งคืนวันที่ 4 ตุลาคมเวลาราวๆ ตี 2 ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงก็ได้ยินเสียงเด็กร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดแล้วก็เงียบหายไป ไม่มีใครคาดคิดไปถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในสังคมชนบทที่สุดแสนสงบเงียบแห่งนี้
"ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อนบ้านต่างหวาดระแวงครอบครัวนี้ เด็กๆ หลายคนถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้บ้านหลังนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน หลายคนเชื่อว่าเหตุเศร้าสลดเหล่านี้เกิดจากความกดดันในอดีตของแม่เด็ก เนื่องจากแม่ของเด็กถูกคนร้ายข่มขืนขณะอายุได้ 17 ปี ต่อมาเธอให้กำเนิดลูกสาว (เด็กที่ถูกฆาตกรรม) โดยมียาย ป้า น้า คอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่แล้วทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวที่เคยสุขสงบนี้ ปัจจุบันสี่พี่น้องเข้ารับการรักษาอาการทางประสาทที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์
อ่านแฮชแท็ก #วิปลาส ในทวิตเตอร์ คลิกที่นี่ xo