ความเห็นต่าง กับ การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย
“ความเห็นต่าง กับ การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย”
ภาษาและความเข้าใจ หรือ รู้ความหมาย ของภาษา ที่เขียน ที่พูด เป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการติดต่อสื่อสาร ความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง ความไม่ลงรอยกัน ส่วนหนึ่งย่อมมาจากการติดต่อสื่อสาร ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงจักได้ให้ความรู้ ความเข้าใจ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือสำหรับผู้ที่มีความเข้าใจผิด ในพฤติกรรม การกระทำของบุคคล ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อความถูกต้อง ข้าพเจ้าจึงจะขอแนะนำ คำว่า “ความเห็นต่าง กับ การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย” ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ไม่มีทิฐิ มีจิตใจดีงาม ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เท่านั้น ส่วนบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่มีความเห็นต่างจากข้าพเจ้า ก็ให้ได้อ่านแล้วก็พิจารณาให้เป็นไปตามหลักความจริง ก็คงจะสร้าง ความรู้ ความฉลาด ไม่บังอาจไปสร้างความแตกแยก หรืออวดดีอวดเก่ง ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร.
“ความเห็นต่าง” คืออะไร “ แท้จริงแล้ว ความเห็น ก็คือความคิด ที่ได้คิดและเข้าใจแล้ว หรือตกลงปลงใจ เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้คิดได้พิจารณาของแต่ละบุคคล แต่จะเข้าใจหรือเชื่อไปในทางที่ถูก หรือเชื่อหรือเข้าใจไปในทางที่ไม่ถูก ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความรู้ การได้รับการขัดเกลา ทางสังคม และกรรมพันธุ์ ของแต่ละบุคคล”
“การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย” คืออะไร “ ความหมายย่อมอยู่ในตัวรูปประโยคอยู่แล้ว” ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่ไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตยนั้น ว่าจะหยิบยกสิ่งใด เรื่องใด ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง กล่าวคือ “ความไม่รู้ในระบบกลไก กฎเกณฑ์ กติกา หรือมีความเข้าใจใน ระบอบประชาธิปไตย ไม่ถ่องแท้ อยากดัง อยากเด่น อยากสร้างภาพ หรือที่สำคัญ เพื่อผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ของตนเอง หรือ กลุ่มของตน”
ที่ได้เขียนไปแล้วข้างต้น หากไม่มีตัวอย่างยกมาให้เห็นถึง “ความเห็นต่าง” กับ
“การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย” ก็คงจะไม่เกิดความเข้าอย่างถ่องแท้ ทั้งยังไม่เห็นภาพว่า อย่างไรเรียกว่า “ความเห็นต่าง” อย่างไร “เรียกว่า ไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย จึงจะยกตัวอย่างให้ได้เห็นกันอย่างชัดเจน ดังนี้.
รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐ เป็นรัฐธรรมนูญ ที่ได้ทำประชามติ โดยให้ประชาชนทั่วประเทศ ลงเสียงประชามติ ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ในการลงคะแนนเสียงประชามตินั้น เกิดมี “ความเห็นต่าง” ขึ้น ๓ ฝ่าย คือ
๑. ไม่ออกเสียง คือ ไม่ชอบ ซึ่งไม่ได้นำมานับรวมกับข้อ ๒
๒.ไม่เห็นด้วยกับ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๒๕๖๐(ในขณะนั้น)
๓.เห็นด้วยกับ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๒๕๖๐
“ความเห็นต่าง” ทั้ง ๓ ฝ่าย ปรากฏว่า ข้อที่ ๓ คือ ฝ่ายที่เห็นด้วย มีมากกว่า หากจะกล่าวตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ประชาชน เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย กับ ร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว (แต่จะได้อ่านรัฐธรรมนูญกี่มากน้อย ไม่รู้นะ)
ในเมื่อเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ มีมติเห็นชอบกับ รัฐธรรมนูญ แล้ว รัฐธรรมนูญ ฉบับดังกล่าว จึงได้มีการประกาศใช้ จนมาถึงปัจจุบัน ที่กล่าวไปแสดงให้เห็นลักษณะของ “ความเห็นต่าง”
แล้ว “การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย” เป็นอย่างไร ความจริงไม่ต้องอธิบาย หลายๆท่าน ก็คงจะเกิดความเข้าใจบ้างแล้ว เพราะ บางคน บางกลุ่ม ได้ยกเอารัฐธรรมนูญ ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง ในการกล่าวร้ายป้ายสี ยกเอาความในรัฐธรรมนูญ มาเป็นข้ออ้างในการ เรียกร้อง ล่ารายชื่อ หรืออื่นๆ ข้าพเจ้าต้องออกมาข้อร้องเอาไว้เพื่อเป็นการเตือนสติ กลุ่มบุคคล เหล่านั้น
การทำงาน การบริหารประเทศ การทำหน้าที่ ของแต่ละหน้าที่ ย่อมสามารถทำ
ได้โดยไม่มีอุปสรรคจาก “ความในรัฐธรรมนูญ แม้แต่น้อย” การจะทำงาน บริหารงาน ดูแล สาระทุกข์ สร้างความสุข ขจัดความยากจน ให้กับประชาชน ก็ไม่มีอุปสรรคจาก “ความในรัฐธรรมนูญ แม้แต่น้อย”
แล้วพวกเขาเหล่านั้น เรียกร้อง ดิ้นรน ยกเอาประชาธิปไตยขึ้นมากล่าวอ้าง ทั้งๆที่ ความคิดพฤติกรรมของ พวกเขาเหล่านั้นคือ “เผด็จการ” และเป็น “ปรปักษ์” ต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดเจน นั่นก็คือ “การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย”ของพวกเขาเหล่านั้น
ที่ได้กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นถึง “ความเห็นต่าง” กับ “การไม่ยอมรับในระบอบประชาธิปไตย” และยกตัวอย่างให้ได้คิดพิจารณา เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คงจะมีประโยชน์ต่อ ท่านทั้งหลายสมควรตามแต่สมองสติปัญญาของท่าน..
“เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์” (ผู้เขียน)