การทดลองลับ ตัดเส้นประสาทรับรู้ทั้ง 5 เพื่อให้มองเห็น สิ่งที่มองไม่เห็น
ตั้งแต่จำความได้ ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนมีเลย โดยเฉพาะความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติจนทำให้เกิดเรื่องร้ายๆอยู่บ่อยครั้ง และนำไปสู่เรื่องลึกลับชวนสยองเช่นเรื่องนี้
จนถึงปัจจุบัน เรื่องของการทดลองลึกลับที่ว่าด้วยการตัดเส้นประสาทสัมผัสทั้งหมด รีดเค้นประสิทธิภาพของมนุษย์ให้ถึงที่สุด เพื่อให้มองเห็น "ในสิ่งที่มองไม่เห็น" ก็เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนานว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่กันแน่? เช่นเดียวกับเรื่องการทดลองอดนอนของรัสเซีย ซึ่งก็เป็นเรื่องเล่ายอดฮิตไม่แพ้กัน วันนี้เราเลยนำมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครที่ยังไม่เคยสัมผัสกับความหลอนของการทดลองสยองนี้ แต่ก็ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยก็แล้วกัน อย่าเก็บไปซีเรียสจริงจังมาก อ่านเอาสนุกเป็นพอ
Gateway of the Mind เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญออนไลน์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเว็บไซต์ creepypasta เมื่อปี 2010 ว่าด้วยเรื่องราวการทดลองเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1983 มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เคร่งศาสนาได้เริ่มการทดลองสุดเถื่อนขึ้นมาภายในสถาบันวิจัยลับ โดยมีทฤษฎีตั้งต้นเอาไว้ว่า หากทำลายแล้วซึ่งประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์จนหมดสิ้น คนผู้นั้นจะสามารถมองเห็น "สิ่งที่มองไม่เห็น" และติดต่อกับพระเจ้าได้ พวกเขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ เป็นสิ่งกีดขวางในการรับรู้พลังอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ หากเอาออกไปจนหมด ก็จะสามารถติดต่อกับพระเจ้าผ่านความนึกคิดได้
หลังเปิดรับอาสาสมัครมาได้พักหนึ่ง ได้มีชายชราเข้ามาขออาสาเป็นหนูทดลองให้กับโครงการนี้ โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว อยู่ไปก็เท่านั้น รวมถึงเชื่อว่าคนที่มาเป็นอาสาสมัครในครั้งนี้คงจะไม่รอดกลับไปเป็นแน่ เขาจึงขออาสาแทน เมื่อได้หนูทดลองแล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้จับเขามัดติดกับเตียง ค่อยๆผ่าตัดเอาเส้นประสาทสัมผัสที่เชื่อมต่อกับสมองออกจนหมด ชายดังกล่าวสูญเสียทุกประสาทสัมผัสไปหมดสิ้น ทั้งการได้ยิน มองเห็น ลิ้มรส ดมกลิ่น และรู้สึก อยู่ตัวตนเดียวโดยไม่สามารถติดต่อกับทีมนักวิทยาศาสตร์ภายนอกได้ เหลือเพียงจิตใจของเขาเท่านั้นที่เป็นเพื่อนในความมืดมิด
ผ่านไป 2 วัน เรื่องราวขนหัวลุกก็เริ่มต้นขึ้น จู่ๆชายชราก็ร้องไห้ออกมา เพราะเขาเริ่มได้ยินเสียงภรรยาที่ตายไปแล้วดังอยู่ในหู ทั้งๆที่เขาหมดแล้วซึ่งประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่หนักไปกว่านั้นคือเขาสามารถตอบกลับเสียงภรรยาที่ล่วงลับได้เช่นกัน ทีมนักวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจจนกว่าชายชราจะสามารถเรียกชื่อญาติที่ตายไปแล้วได้ กระทั่งชายชราได้พูดถึงชื่อของญาติที่ตายไปแล้วของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดได้ ทั้งที่บางอย่างมันเป็นเรื่องส่วนตัวมาก มาจนถึงตรงนี้ นักวิทยาศาสตร์หลายคนกลับถอดใจ ขอถอนตัวจากการวิจัยครั้งนี้ไป เพราะมันเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกที
ผ่านไปสัปดาห์ หลังจากที่ชายชราติดต่อพูดคุยกับคนตายผ่านทางความคิด เขาก็เริ่มเปล่งเสียงอย่างเจ็บปวดมากขึ้น ตะโกนว่าได้ยินเสียงมากเกินไป จิตใต้สำนึกของเขากำลังถูกเสียงปริศนาเข้าถล่มอย่างไม่หยุดยั้ง ดิ้นไปมาบนเตียงอย่างเจ็บปวด ร้องขอยากล่อมประสาทจากนักวิทยาศาสตร์เพื่อหยุดเสียงหลอนๆในหัวเขาเสีย แต่มันก็ได้ผลอยู่ 3 วัน เพราะหลังจากนั้นอาการของเขาก็หนักขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเห็นคนที่ตายไปแล้วตัวเป็นๆในความฝัน
ผ่านไปอีกวัน เรื่องราวก็เริ่มสยองขึ้นเรื่อยๆ ชายชราดิ้นจนหลุดจากพันธนาการ เอามือตัวเองข่วนลูกตาที่บอดสนิทของตัวเองเพื่อหวังว่าจะเห็นโลกความเป็นจริงเสียที พูดตะโกนถึงเรื่องนรกสวรรค์ไปมาชวนให้น่ากลัว จับใจความประโยคซ้ำไปมาได้ว่า "ไม่มีสรวงสวรรค์ ไม่มีการให้อภัย" อยู่อย่างนี้ยาวนาน 5 ชั่วโมงติด สลับกับขอร้องให้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ช่วยฆ่าเขาให้ตายๆไปเสีย แต่นักวิทยาศาสตร์ปฏิเสธเสียงแข็ง โดยอ้างว่าเขาเริ่มติดต่อพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นแล้ว
ผ่านไปอีกวัน ตอนนี้เขาพูดไม่เป็นประโยคไปแล้วอย่างสิ้นเชิง กรีดร้องและกัดฉีกเนื้อที่แขนของเขา ทำเอานักวิทยาศาสตร์ต้องรีบเข้าไปจับเขาล็อคกับโต๊ะ ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าสติหลอน หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง ชายชราเริ่มสงบลง กลับมานั่งเฉยๆเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดานอันว่างเปล่าด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ก่อนจะหันมามองนักวิทยาศาสตร์อย่างช้าๆ ราวกับว่าเขาเห็นเป็นปกติ แล้วกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า "ผมได้พูดกับพระเจ้า พระองค์ทอดทิ้งเราไปแล้ว" ก่อนสัญญาณชีพของเขาจะดับลง ไม่มีหลักฐานชิ้นใดบอกได้เลยว่า เขาเสียชีวิตเพราะเหตุใด...
Gateway of the Mind ฉบับสเปน: