การภาวนาได้อานิสงส์สูงสุด
การทำบุญ ทำกุศล พระพุทธเจ้าตรัสอานิสงส์เรียงลำดับจากน้อยไปหามาก มีแค่ 3 อย่างคือ 1 ทาน 2 ศีล 3 ภาวนา การภาวนา(สมาธิ) หรือให้จิตรู้แค่ลมกำลังไหลเข้า ไหลออก ได้อานิสงส์มากสุด เพราะทำให้เห็นการดับ(ตาย)การเกิดใหม่ เห็นความไม่เที่ยงของจิตและปล่อยวางจิต(วิญญาณ)ได้เร็วสุด เจ้ากรรมนายเวรไม่มี ถ้ามีพระองค์ก็ตรัสผิด ว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ไม่ได้เป็นไปตามใครบันดาล เจ้ากรรมนายเวร เทพ เทวดา หรือใครทั้งนั้น เทวดายังบันดาลตัวเองไม่ให้ตายยังไม่ได้เลย แล้วใครบันดาลให้เทวดาป่วย เจ็บ ตาย เจ้ากรรมนายเวรอีกหรือ การให้จิตรู้แค่ลมที่กำลังไหลเข้า ไหลออก เพราะทำให้เห็นการตายการเกิดของจิต ตอนจิตรู้ลมนั้นคือจิตไปเกิดและเจริญงอกงามที่ลมเป็นภพเป็นชาติเรียบร้อย จิตมีลม(ลมเป็นตัวแทนของรูปหรือกายคตาสติ)เป็นสถานที่เกิด พอเผลอหลุดจากลมไปคิดนั้นคือจิตดวงใหม่ไปเกิดตรงความคิด(นามธรรมได้แก่ สัญญาบ้าง สังขารบ้าง เวทนาบ้าง) จิตดวงเดิมที่เมื่อกี้รู้ลมนั้นดับ(หรือตายแล้ว) พอรู้ตัวแล้วทิ้งความคิดกลับมาที่ลมใหม่ จิตดวงที่กำลังรู้ความคิดก็ดับ(ตาย)อีก แล้วเกิดจิตดวงใหม่ที่ลม นี่คือการเวียนตายเวียนเกิดของจิต หรือคือสังสารวัฏของจิต ไม่ใช่แค่ด้านรูป(ร่างกาย)เท่านั้นที่ตายแล้วไปเกิดภพใหม่ จิต(นามธรรม)ก็ตายแล้วเกิดเช่นกัน(เป็นจิตคนละดวงกันนะ)
ชีวิตจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น เกิดจากการกระทำทางกาย วาจา ใจที่ละทิ้งอกุศล คือ กาม พยาบาท เบียดเบียน หากอยากให้ชีวิตดีขึ้นและสมปรารถนาก็ให้ทำสมาธิภาวนา(อานาปานสติ) ให้เห็นการดับ(ตาย) การเกิดของจิต เห็นถึงความไม่เที่ยงความเป็นอนัตตาของจิต(เพราะในขณะที่ทำสมาธิภาวนา กาม พยาบาท เบียดเบียนจะดับ ศีลจะครบบริบูรณ์) คือทางลัด สั้น ตรงที่สุดแล้ว มรรคทั้ง 8 องค์ จะครบบริบูรณ์ขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วหลังจากนั้นเมื่อเฝ้าสังเกตการดับการเกิดของจิต จะรู้ว่าจิตนั้นก็ไม่เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาแล้วไม่ดับ(ไม่ตาย) ไม่พัง ไม่เสื่อมสลายเลย ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า เมื่อสิ่งใดเปลี่ยน สิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา นั่นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา#เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา#