เมื่อพ่อเป็นเกย์ แม่มองแต่หญิง....ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย
หนุ่มเปิดชีวิต หลังได้รู้ความจริงชวนช็อก พ่อเป็นเกย์ ส่วนแม่ก็ไม่มองผู้ชาย มองเข้าใจพวกท่าน สังคมในอดีตไม่เหมือนปัจจุบัน หากเกิดในยุคที่แตกต่าง อาจไม่ต้องมาแต่งงานกันเช่นนี้
สำหรับ เจมส์ ลูบบ็อก ชีวิตที่ผ่านมาในวัยเด็กของเขานั้นแทบไม่ได้ต่างอะไรจากคนทั่วไป แถมยังจัดว่าค่อนข้างดีด้วยซ้ำ เขาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อและแม่อย่างเป็นสุขในบ้านที่ประเทศอังกฤษ ครอบครัวไม่ลำบากเรื่องการเงิน พ่อก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ส่วนแม่ก็ยังทำหน้าที่แม่บ้านได้ไม่มีบกพร่อง ตัวเขาเองก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน สนุกสนานกับชีวิตเรื่อยมาจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ
แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะหลังจากที่เขาออกมาจากบ้าน พ่อกับแม่ของเขาก็หย่าขาดจากกัน ขณะที่เขายังเรียนอยู่ชั้นปีแรกในมหาวิทยาลัย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาตกใจมาก แต่แปลกใจกว่าเมื่อได้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่นั้นเหมือนจะดีขึ้น และสนิทกันยิ่งกว่าตอนที่ยังครองสถานะสามีภรรยา
พวกเขาแยกจากกันด้วยดีหลังต้องทนอยู่ในความสัมพันธ์ชวนอึดอัดใจมานาน และไม่ช้า เจมส์ก็ได้รู้ถึงความจริงชวนช็อก ที่เข้ามาไขความสงสัยของเขา
โดยเจมส์ ได้หยิบยกเรื่องราวชีวิตของเขามาบอกเล่า เป็นบทความผ่านเว็บไซต์แห่งหนึ่ง...เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 ระบุว่า ในเย็นวันหนึ่ง พ่อได้ชวนเขาไปดินเนอร์ด้วยกัน ก่อนจะสารภาพความจริงว่าพ่อนั้นเป็นเกย์ ซึ่งนั่นทำให้เขาช็อกมาก และยิ่งช็อกหนักขึ้นเมื่อหลังจากนั้น 2 สัปดาห์แม่ก็ได้สารภาพความลับให้เขาฟัง ว่าแม่ก็ไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนกัน
สิ่งที่ได้รับรู้ มันทำให้มุมมองเกี่ยวกับตัวพ่อและแม่ที่เขาเคยรู้จักมาตลอดชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ก็รับรู้ได้ว่าการปลดเปลื้องความลับที่กดทับอยู่ในใจมานาน ทำให้พวกท่านมีความสุขแค่ไหน ในที่สุดพวกเขาก็จะได้กลับมาเป็นตัวของตัวเอง และเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใครที่ใจต้องการอย่างแท้จริง
พ่อของเจมส์ ยอมรับว่าการสารภาพความจริงกับลูกชาย ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของเขา เจมส์ไม่เคยเห็นพ่อกังวลขนาดนั้นมาก่อน แต่เขาเองซึ่งก็โตแล้วสามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และรู้ว่าทั้งพ่อและแม่ต้องผ่านความลำบากมาขนาดไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เจมส์ เผยว่า เนื่องจากสมัยก่อนนั้น สังคมอังกฤษยังไม่เปิดรับความหลากหลายทางเพศมากเท่าปัจจุบัน แรงกดดันจากสังคม เพื่อน ๆ และครอบครัวในตอนนั้น ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องแต่งงาน ใช้ชีวิตครอบครัวกับใครสักคน และเก็บเรื่องตัวตนที่แท้จริงเป็นความลับ และเจมส์ก็คิดว่า หากพ่อกับแม่ของเขาเติบโตมาในช่วงเวลาหลังจากนั้น ตอนที่มุมมองของคนในสังคมเปลี่ยนไป พวกเขาอาจไม่ได้แต่งงานกัน รวมถึงเขาก็คงไม่ได้เกิดมาเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าหลังได้รู้ความจริง เขาก็ยังคงมีเรื่องกังวลเล็กน้อยกับความสัมพันธ์ใหม่ของพ่อกับผู้ชายคนอื่น ๆ ในตอนนี้เขากลับกลายมาเป็นคนที่จี้ถามและย้ำเรื่องความปลอดภัย และกล้าที่จะพูดคุยเรื่องเพศกับพ่อแม่อย่างเปิดอก เพราะแม้การคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่จะชวนให้อึดอัดใจ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อชีวิตของพ่อในวันข้างหน้า
ทั้งนี้ เจมส์ยอมรับว่า แม้ว่าพ่อกับแม่ของเขาจะเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไร ในทางกลับกันเขายังสนิทกับพวกท่านมากยิ่งขึ้น และใช้ชีวิตในฐานะลูกของพวกท่านเช่นเดียวกับลูกคนอื่น ๆ ทั้งการได้อยู่ดูแลแม่ในช่วงเวลาที่เธอป่วย จนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ตลอดจนได้ช่วยเหลือพ่อในช่วงเวลาที่พ่อหลงเดินทางผิดไปใช้ยาเสพติด โดยเขาช่วยเหลือพ่อออกมาให้ได้รับการบำบัด กระทั่งสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้ในตอนนี้
*****
บอกได้คำเดียวว่า.... Go So Big
ไปกันใหญ่ ละ.....