จุดธูปไหว้ทั้งไซต์งาน
ตอน 3
หลังจากทำงานต่อ จนเกือบๆสามทุ่ม
ก็พาช่างกลับลงมาจากตึก
เอาของไปเก็บในสโตร์
วันนี้ น้องคนที่เขามาแทนชั่วคราว เลิกงานไปก่อน
เขาเลยให้กุญแจผมไว้ เพื่อปิดล็อคสโตร์ให้
ช่างขนของมาเก็บในห้อง คุยกันเสียงจ๊อกแจ๊กไปตามประสา
ผมนั่งหาเอกสารที่เขียนเบิกของมาเช็คดู อยู่ที่โต๊ะ
แล้วก็มีช่างคนหนึ่ง ยืนรอเพื่อนอยู่หน้าสโตร์
มันเอาเหล็กเคาะไปมากับ ผนังห้อง
ผมรำคาญก็เลยบอกว่า อย่าเคาะ
ช่างมันก็ยังไม่หยุดเคาะ จนผมต้องขึ้นเสียงดังใส่ไป
"เฮ้ย บอกว่าอย่าเคาะ"
จนลูกน้องผมอีกคนเดินไป เบิร์ดหัวช่างคนนั้นทีหนึ่งเบาๆ
"ลูกพี่บอกว่าอย่าเคาะ"
ช่างคนนั้นมันก็หัวเราะ แล้วก็เร่งเพื่อน เร็วๆหน่อยหิวข้าว
ผมมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหาเอกสาร
มีเสียง เจี๊ยว จ๊าว ของพวกช่าง อยู่สักพัก
แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับออกไปทีละคนสองคน
ก่อนจะค่อยๆเงียบลง
สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะเหล็ก แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง ขึ้นมาอีก
จนผมรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาหน่อยๆ
"อ้าว ไอ้นี่ พูดไม่รู้เรื่อง"
พอเงยหน้ามองไปในห้องสโตร์ ก็ไม่เห็นมีใครอยู่แล้ว
เลยรีบเดินออกไปดูหน้าห้อง พรางพูดเสียงดังออกไป
"เอ็งจะเคาะหาอะไร วะ"
แต่พอชะโงกหน้ามองไปตามทางเดิน
กลับปรากฏว่าไม่มีใครอยู่หน้าห้องสักคนเลย
เสียงเคาะเหล็กนั้นก็เงียบไปทันที ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมรีบมองซ้ายมองขวา มองไปรอบๆ ให้แน่ใจ
ว่ามีใครแกล้งหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรแม้แต่เงา
“ใครแกล้งวะ”
ผมตะโกนดังออกไป
ได้ยินแต่เสียงตัวเองดังก้องสะท้อนกลับมาจากโถงทางเดิน
แล้วก็เงียบลง
พอกลับมานั่งเคลียร์เอกสารอยู่ในห้องต่อ บรรยากาศก็เริ่มเงียบ
รู้สึกมันเงียบสงัดมาก ราวกับว่า เหมือนไม่ใช่ไซต์งานก่อสร้าง
ได้ยินแต่เสียงพัดลมในห้องส่ายไปมา ดัง แต๊ก แต๊ก
ผมรีบเคลียร์เอกสาร ต่อให้ไวที่สุด
พอมันเงียบเกินไป
ผมก็ฮัมเพลงเล่น ปนร้องเพลงเล่นบ้าง ไปตามประสา
พอผมร้องเพลงเป็นเสียงเพี้ยน สูงๆต่ำๆเล่น
อยู่ๆก็มีเสียงเย็นยะเยือกของผู้หญิงหัวเราะ หึ หึ ขึ้นมาจากข้างหลังผม
ผมตกใจมาก รีบหันไปมองด้านหลังทันที
"เฮ้ย.. ใครวะ"
พอมองไป ก็เห็นแต่ เชลฟ วางของ ดำทะมึน ตั้งเรียงรายกันอยู่ สาม สี่ แถว
ด้านหลังห้องมืดสลัว สลัว ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ขนหัวผมลุกซู่ขึ้นมา เสียวสันหลังวาบทันที
ผมยืนมองไปรอบๆห้อง บรรยากาศเริ่มวังเวงราวกับว่า ในนี้เป็นห้องเก็บศพ
พอตั้งสติได้ ผมก็ตะโกนไปทางผนังด้านหลังสโตร์
“ใครวะ “
"อย่ามาเล่นแบบนี้ นะโว้ย"
พูดจบ ทุกอย่างก็เงียบ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
ผมเริ่มมือไม้สั่น หันหลังกลับมาที่โต๊ะ
รีบลนลาน เก็บเอกสารซุกๆไปในลิ้นชัก
"ไม่อยู่แล้วโว้ย"
พรางคิดในใจพรุ้งนี้ค่อยมาเคลียร์ต่อ
พอ เอื้อม มือไปปิดพัดลม กำลังจะเดินออกไป
อยู่ๆก็ได้ยินเสียง ดัง โครม ออกมาจากห้องข้างๆ
จนผมสะดุ้งตกใจ ผวาขึ้นมาอีก
มันเป็นเสียงเหมือนมีของอะไรหลายๆชิ้น เท กระจาดลงบนพื้น
ผมนิ่งฟัง นึกในใจว่าเสียงหนูหรือเปล่า
พอนิ่งฟังแป๊บหนึ่ง ก็ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น
ผมก็เลยลองค่อยๆเอาหูไปแนบฟังใกล้ๆกับพนังห้องที่ติดกับห้องข้างๆ
สักพักก็เริ่มได้ยินเสียงคล้ายๆอะไร เดินวนไปวนมา อยู่ในห้อง
ราวกับว่ามีใครทำอะไรอยู่ในห้องนั้น
พอได้ยินแบบนั้น
ผมก็รีบวิ่งไปหน้าห้องสโตร์ มองไปที่ประตูห้องข้างๆ
"เฮ้ย.. ประตูก็ล็อคอยู่นี่หว่า"
มองไปที่กุญแจล็อคห้องตรงประตูนั้น ก็ยังอยู่ในสภาพนิ่งปกติ
แล้วภาพนักศึกษาสาวคนที่ผมเจอบนตึก ก็แว๊บขึ้นมาในหัวผมอีกทันที
ขนแขน ขนขา ผมลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว
"เถ่าแก่เอาอะไรมาเก็บไว้ในห้องนี้วะ"
พอนึกขึ้นมาได้ ใจผมก็เต้นแรงขึ้นมา รู้สึกใจสั่นไปหมด
ผมค่อยๆเดินไปที่หน้าประตูห้องนั้นช้าๆ
ยืนอยู่หน้าประตู
ด้วยความสงสัย มันก็ทำให้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
ผมมองหาช่องที่พอจะมองลอดเข้าไปได้
สักพักก็เห็นเป็นช่องรูตะปูเล็กๆ อยู่ที่บานประตู
ใจผมเต้นแรง ระดับเจ็ดลิคเตอร์เลย
ค่อยๆเอื่อมมือไป เปิดสวิทช์ไฟที่อยู่หน้าห้อง
แล้วก็มองเห็นรูตรงไม้นั้น มีแสงลอดออกมาจากข้างในทันทีที่ไฟในห้องติด
ผมค่อยๆก้มตัวลงช้าๆ เอาตาไปแนบกับ รูไม้ ตรงนั้น
มองรอดช่องเข้าไปดูข้างใน
พอมองเข้าไปดูในห้อง ก็เห็น ตรงพื้น ด้านหน้าห้อง
มีผ้าใบสีดำคลุมปิด อะไรบางอย่างอยู่
พอส่ายสายตามองไปข้างๆช้าๆ
ก็ถึงเห็นว่าผ้ามันคลุม หีบเหล็กสังกะสี อยู่ครึ่งหนึ่ง
มันเป็นกล่องสังกะสีใหญ่ๆ น่าจะเท่าถังใส่น้ำแข็งตามร้านอาหารได้
ผมพยายามมองดูไปตามรอบๆห้องเท่าที่พอมองได้
เห็นของที่อยู่บนเชลฟ ตกลงมาทับผ้าใบอีกด้าน
ของพวกนั้นมันคงดึงให้ผ้าใบมันเลื่อนจนเปิดให้เห็นกล่องเหล็กครึ่งหนึ่ง
แล้วทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีของตกลงมาอีก
จนผมสะดุ้ง ร้องขึ้นอย่างตกใจ
รีบผงะถอยหลังออกมาตั้งหลัก หน้าประตูใหม่
ทำใจอยู่แป๊บหนึ่ง คิดในใจ ว่า นั่นมันกล่องเก็บอะไร
พอไม่แน่ใจ ผมเลย ส่องไปดูใหม่อีกทีหนึ่ง
คราวนี้มองไปที่ฝากล่องเหล็กนั่น
พยายามดูว่า มันมีกุญแจล็อคไว้หรือเปล่า
แล้วอยู่ๆ ฝากล่องเหล็ก มันก็ค่อยๆเผยอ ขึ้นช้าๆ
ราวกับมีคนดันฝากล่องขึ้นมาจากข้างใน
เฮ้ย..!
เส้นผมที่ท้ายทอยลุกตั้งราวกับมีคนมาดึง
ตัวผมเกร็งไปหมด
สายตาก็จ้องไปที่ ช่องมืดๆใต้ฝาที่เผยอ ขึ้นมา
มันเปิดค้างอยู่นิ่งๆ ราวกับว่า มีสายตาใครอยู่ในนั้น กำลังจ้องมองผมอยู่
พอฝา กล่องทิ้งตัวปิดลง ดังแก๊ก ผมก็สะดุ้งสุดขีด
ทรุดไปนั่งอยู่กับพื้น รนรานถอยหลังออกมาอย่างไว
"เฮ้ย.. อะไรวะ"
ผมร้องตะโกนออกมาอยากลืมตัว
แล้วความคิดบางอย่างก็แว๊บขึ้นมาทันที
"อย่าบอกนะว่า มีศพอยู่ในนั้น"
"เ ชี ย แล้ว "
ผมรีบลุกขึ้น วิ่งไปหาหัวหน้าที่บ้านพักทันที
พอวิ่งออกมาข้างนอกได้ ก็รู้สึกว่ามีลมแรงพัดมาปะทะเข้ากับหน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัว
ผมรีบมองขึ้นดูท้องฟ้า เห็นฟ้าแลบส่องแสงไปมา เหมือนจะมีพายุฝนตั้งเคล้ามาอีก
พอรีบวิ่งไปทางบ้านพัก ทั้งฝุ่น ทั้งลม ก็พัดตะลบ ฝุ่นฟุ้งไปหมด
แล้วเสียง หมาหอนก็ดังระงมขึ้น ปานนัดหมาย
ราวกับว่ามันเห็นอะไร อยู่แถวนี้
พอวิ่งไปถึงห้องหัวหน้า ผมรีบรนราน เคาะประตูเรียกหัวหน้าทันที
แต่ ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา จากข้างใน
สักพัก คนแถวๆนั้นก็ออกมา บอกว่าหัวหน้าไปกินข้าวข้างนอกยังไม่กลับ
พอกำลังจะเดินกลับ
อยู่ๆก็มีคนงานผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมา
พอเห็นผม ก็รีบถามผมว่า "หัวหน้าหละ"
ผมเห็นหน้า ก็คุ้นๆ ว่าเป็นคนงานหญิงของทีมหัวหน้า ที่ชื่อ ริน
ผมก็เลยบอกเขาไปว่า "หัวหน้าไปกินข้าวยังไม่กลับ"
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดอยากกระหืดกระหอบขึ้น
"นายช่าง นายช่าง ช่วยตามพ่อหนูให้หน่อย"
ผมก็ถามว่า "พ่อเป็นอะไร"
คนงานหญิงคนนั้นก็ตอบว่า
" พ่อหนูเขาวิ่งตาม ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ ขึ้นไปบนตึก หนูห้ามก็ไม่ฟัง "
พอได้ฟัง ผมก็ตกใจทันที
“หา..!”
"ผู้หญิงที่ไหนจะมาเดินบนตึกมืดๆค่ำๆแบบนี้วะ"
ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปดูที่ตึก พราง วอ ไป ตามลูกน้อง บอกให้ไปช่วยกันบนตึกด่วน
พอวิ่งไปถึงหน้าตึก ลมก็พักแรงขึ้น เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ดังระงม ไปทั่วบริเวณ
ผมรีบวิ่งขึ้นไปบนตึกพร้อมๆกับน้องคนนั้น
ในตึกมืดมาก เพราะปิดไฟหมดแล้ว เลยต้องใช้ไฟฉายส่องไปตามทางเดิน
วิ่งขึ้นไปดูแต่ละชั้น น้องเขาก็ร้องเรียก พ่อ พ่อ ตลอดทาง
น้องคนนั้น ดูมีท่าทีกระวนกระวายมาก เหมือนจะร้องไห้ออกมา
พอวิ่งขึ้นมาถึงชั้นสี่ ลูกน้องก็ วอ มาถาม
"ลูกพี่ ลูกพี่ อยู่ไหน เกิดอะไรขึ้น"
ผมก็ตอบกลับไปว่า
"พ่อไอ้ริน วิ่งตามใครขึ้นมาบนตึกไม่รู้ มาช่วยกันตามหาหน่อย ตอนนี้อยู่ชั้น 4 "
ยังไม่ทันได้ฟังเสียงตอบกลับ เสียงน้องคนนั้นก็ดังขึ้น
“นั้นไง พ่อ“
ผมรีบมองตามไป เห็นแต่ น้องคนนั้นรีบวิ่งตามพ่อ ขึ้นบันไดไปที่ชั้นห้า
แบบมืดๆไม่มีไฟฉาย
ผมเลยรีบส่องไฟฉาย วิ่งตามไปติดๆ แต่ดูเหมือนน้องเขาจะวิ่งเร็วมาก
ไม่นานก็วิ่งหายขึ้นไปที่ชั้นหก แล้ว
ผมวิ่งกระหืดกระหอบ ตามไป แบบจวนจะหมดแรง
พอถึงชั้นหก มันเป็นพื้นที่โล่งๆ ยังไม่มีการกั้นผนังหรือกำแพง
แม้แต่ขอบผนังของตึกก็ยังไม่มี
พอผมเดินขึ้นมาถึงตรงโถงนั้น ก็ได้ยินแต่เสียงน้องผู้หญิงคนนั้นตะโกนว่า
“พ่อ อย่า.. “
แล้วก็ได้ยินเสียงวิ่งไปอีกฝั่งของตึก
ผมตกใจรีบวิ่งตามไป มองไปขอบตึกไกลๆ เห็นแต่น้องผู้หญิงวิ่งไปใกล้จะถึงขอบแล้ว
ผมรีบวิ่งตามไป จนถึงน้องเขา
น้องเขาคุกเข่าทรุดอยู่กับขอบตึก ร้องไห้ โหออกมา
"พ่อ.. พ่อ.. “
“พี่… พ่อหนูโดดลงไปแล้ว "
แล้วก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าผม
ผมอึ้งไป ทำอะไรไม่ถูก ถามน้องเขาให้แน่ใจ
“เห็นพ่อโดดลงไปจริงๆหรือ”
น้องคนนั้นก็เอาแต่นั่งร้องไห้
แว๊บนั้น มันก็ทำให้ผมคิดถึง กล่องเหล็กอาถรรพ์ข้างห้องสโตร์ขึ้นมาทันที
สรุปที่เกิดเรื่องราวกันทั้งหมดนี้ มันต้องการจะเอาชีวิตคนใช่ไหม
พอคิดขึ้นได้ ผมก็เลยค่อยๆเดินไปดูตรงขอบตึก
ค่อยๆ ชะโงกหน้า ส่องไฟฉายลงไปดูด้านล่าง ว่าศพอยู่ตรงไหน
ลมแรงตีเข้ามาปะทะหน้าผม
ช่วงที่กำลัง ส่องไฟฉายลงไปดู อยู่ๆก็มีเสียง วอ ดังขึ้น
เป็นเสียงคุ้นๆ
" พี่ นี่ รินเองนะ "
"พ่อหนูตายไปหลายปีแล้วพี่ "
เท่านั้นแหละ ผมรีบหันหลังกลับไปมอง ผู้หญิงที่ร้องไห้อยู่ข้างหลังผมทันที
พอหันไป ก็เล่นเอาผมตาค้าง ขนหัวลุกชูชันขึ้นสุดขีด
"คุณพระช่วย "
โปรดติดตามตอนต่อไป