มียศถึง ผู้กำกับ แต่ต้องมาขับวินมอเตอร์ไซค์
ขึ้นชื่อ “ตำรวจ” นับว่าเป็นอาชีพที่มีความเกี่ยวข้อง-ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด เพราะคำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” หน้าที่หลักของการปฏิบัติงานคือต้องบรรเทาทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน คอยดูแลบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบในสังคม และต้องคอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในทุกๆด้าน…บ่อยครั้งที่มักจะเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ในวงการตำรวจก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากอาชีพอื่นๆมากนัก ตำรวจแทบทุกนายล้วนต้องการความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่มั่นคง จากประทวนอยากขึ้นสัญญาบัตร จาก พ.ต.ท. ขึ้น พ.ต.อ. ในยุคปัจจุบันนี้หากมีวาสนาที่ดี-มีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์อุ้มชู ไม่แน่ก็อาจจะได้เป็นถึง “นายพล นายพัน” ได้ไม่ยาก…อยากจะบอกว่ามันก็คือ “หัวโขน” นั้นเอง
ได้เกริ่นนำไปที่เรื่อง “หัวโขน” วันนี้เลยอยากจะนำเสนอเรื่องราวดีๆที่ทำให้หลายๆคนต้องชื่นชมในแนวความคิด และการใช้ชีวิตของตำรวจน้ำใจงามท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าถอดหัวโขนจากผู้กำกับยศ พ.ต.อ. กลายมาเป็นคนขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ท่านคือ พ.ต.อ.ธีระศักดิ์ พบศิลา หรือ “ลุงอู๊ด” อายุ 62 ปี ท่านเป็นอดีตตำรวจเมืองชลบุรี ได้ยึดอาชีพเสริมหลังจากเกษียณมาขี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หมายเลข 16 ประจำปากทางเข้าศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 2 จ.ชลบุรี ไปฟังเรื่องราวดีๆที่หน้าประทับใจมากๆดูกัน
พ.ต.อ.ธีระศักดิ์ ได้เล่าประวัติส่วนตัวเก่าๆย้อนกับให้ฟังว่า ท่านได้จบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจภูธร 2 ชลบุรี ปี 2519 รับราชการตำรวจมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีก็ได้สอบเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร และได้สมรสกับนางลำไพ พบศิลา หรือเจ๊กุ้ง อายุ 57 ปี มีบุตร 3 คน เป็นชาย 1 หญิง 2 ปี 58 ท่านเลือกที่จะเกษียณอายุราชการก่อนเวลากำหนดในตำแหน่งสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจภูธรดอนหัวฬ่อ จ.ชลบุรี ยศ พ.ต.ท. และได้รับบำเหน็จโดยการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เพิ่มยศให้อีก 1 ชั้น เป็น พ.ต.อ.
“จุดเริ่มต้นการมาขี่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างเกิดจากครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงิน อดีตลุงเป็นเพียงตำรวจชั้นผู้น้อย ขณะนั้นติดยศสิบตำรวจโทได้เงินเดือนน้อยไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จึงปรึกษากับภรรยาว่าต้องหารายได้เสริมเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับครอบครัว จึงตัดสินใจกับภรรยาว่าเราทั้งคู่จะขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเป็นอาชีพเสริม เนื่องจากอาชีพนี้มีเวลาดูแลลูก ๆ ได้อย่างเต็มที่ และเป็นการหารายได้เสริมที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร และไม่ต้องกระทำในสิ่งที่ตำรวจไทยไม่ควรกระทำ ขี่มาเรื่อยกว่า 20 ปี ตอนนี้ออกจากตำรวจแล้วก็ยังมาขี่วินฯแบบเต็มเวลา”
“ลุงอู๊ด” บอกต่อว่า ตลอดเวลา 20 ปีที่ขี่จักรยานยนต์รับจ้าง ไม่เคยแสดงตัวหรือบอกใครเลยว่าเป็นตำรวจ นอกจากมีเหตุจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น ระหว่างขับขี่ไปเจอเหตุทะเลาะวิวาทจึงจะแสดงตัวเข้าห้ามปรามช่วยระงับเหตุ หรือบ่อยครั้งที่มีประชาชนเดินทางมาจากต่างจังหวัดแล้วไม่มีที่พักนั่งริมทางเพื่อเดินทางต่อรอรถหรือรอญาติมารับในยามค่ำคืนก็จะให้ความช่วยเหลือชวนไปนอนพักที่บ้าน
หากประชาชนท่านใดไม่ไว้ใจจึงจะแสดงตัวว่าเป็นตำรวจ ไม่ต้องกลัวไปนอนหลบฝนหลบยุงที่บ้านได้ ทำมาตลอดจนสร้างความประทับใจ และได้มิตรภาพดี ๆ กลับมามากมาย หลายคนได้นับถือและเคารพรักเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“นอกจากนี้ยังหารายได้ด้วยการรับจ้างเป็นยามเฝ้าโรงน้ำแข็งในเวลากลางคืน และรับจ้างเฝ้าร้านทอง ก่อนหน้านี้เจ้าของกิจการหลายแห่งปฏิเสธไม่อยากให้ทำงานด้วย เพราะเห็นว่ามียศตำแหน่งสูงก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ผมไม่ได้กระทำสิ่งผิดกฎหมาย หรือผิดทำนองคลองธรรมใด ๆ การมาหารายได้เสริมก็ไม่ได้เบียดบังเวลาการทำงานราชการ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นตำรวจดูแลประชาชนให้อยู่อย่างเป็นสุขแล้ว ผมยังต้องทำหน้าที่พ่อทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวต้องดูแลให้ทุกชีวิตในครอบครัวอยู่ดีกินดี มีความสุขด้วยเช่นกัน เจ้าของกิจการจึงยินยอมให้ทำงานด้วย”
อดีตตำรวจน้ำใจงามได้กล่าวข้อความปิดท้ายว่า อยากฝากบอกทุกคนโดยเฉพาะตำรวจว่าอย่ายึดติดกับยศ และตำแหน่งมากจนเกินไป มันเป็นเหมือนหัวโขน เวลารุ่งเรืองก็มีคนสรรเสริญเยินยอ เวลาตกทุกข์หมดอำนาจวาสนาก็มีคนดูถูก ไม่มีใครจริงใจ อาชีพสุจริตเป็นอาชีพที่สูง ขอให้ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วคนที่อยู่กับเราเสมอคือครอบครัวของเรานั่นเอง
เป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องและชื่นชมเป็นอย่างมาก หวังว่าเรื่องราวดีๆของ “ลุงอู๊ด” ในวันนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คน ไม่ให้ย่อท้อต่อโชคชะตา และได้ยึดมั่นในการทำความดี และทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่คิดยึดติดกับยศถาบรรดาศักดิ์ และรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือความสุขที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย แต่กับอยู่ใกล้ๆตัวเราเอง หรือหาใช่เงินทองของนอกกายเลย แต่นั้นคือครอบครัวของเรานั่นเอง
แหล่งที่มา: https://www.saipim.com/2019/02/25/มียศถึง-ผู้กำกับ-แต่ต้อง/