หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

การทดสอบจิตวิทยาสุดกดดัน เกมส์เเห่งความตาย มาช๊อตไฟฟ้าคนที่ไม่รู้จักกันเถอะ

โพสท์โดย ลูกสาวอบต

 

ลองทายกันเล่นๆสิคะว่า ถ้ามีคนสั่งให้คุณทำโทษด้วยการซ๊อตไฟฟ้าคนที่คุณไม่รู้จัก(จากเบาๆ 15v – 450v) คุณจะทำไหม และมีกี่คนที่จะกล้าทำ?? 

เก็บคำตอบไว้ในใจ และไปหาคำตอบกันในงานวิจัยของ Stanley Milgram ค่ะ 



เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักการทดลองสุดคลาสสิคที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงจิตวิทยาอันนี้เป็นแน่ กับการทดลอง “การเชื่อฟังคำสั่ง” ของ Milgram ที่ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเล่นบทเป็นครู และ ทำโทษนักเรียน(ผู้เข้าร่วมการทดลองอีกคน*)ด้วยการช๊อตไฟฟ้าเมื่อนักเรียนตอบคำถามผิด ตั้งแต่เบาๆ 15v จนถึง 450v…. 
แต่คุณพระ!! มันจะเป็นไปได้จริงๆหรอที่จะมีคนใจโหดขนาดที่จะซ๊อตคนที่ไม่รู้จักเพียงเพราะมีคำสั่ง/คำบอก ให้ทำ ถ้าอยากรู้ ตามไปดูข้อมูลข้างล่างเลยค่ะ  

*ผู้เข้าร่วมการทดลองที่เล่นบทเป็นนักเรียน จริงๆแล้วเป็นนักแสดงที่ถูกจ้างมาค่ะ ไม่มีการซ๊อตไฟฟ้าจริงๆแต่แกล้งทำเป็นโดนซ๊อตเฉยๆ แต่ ผู้เข้าร่วมทดลอง (จริง) ที่เล่นบทเป็นครูนั้นไม่รู้ นึกว่ากำลังช๊อตคนอื่นจริงๆอยู่  
** เราจะใช้คำว่า  ผู้เข้าร่วมการทดลอง(จริง) สำหรับ ผู้เข้าร่วมการทดลองตัวจริงนะคะ  และ ผู้เข้าร่วมการทดลอง(ปลอม) สำหรับนักแสดงที่ถูกจ้างมานะคะ การทดลองแรกๆของ Stanley Milgram ที่ปัจจุบันนี้ก็ยังได้รับการกล่าวขานอย่างทั่วถึง และเป็นการทดลองที่คนรู้จักมากที่สุดคือ การทดลองที่ได้ถูกตีพิมพ์ในปี 1963 ชื่อว่า “Behavioral study of obedience”  ^_^  ถือว่าเป็น baseline study (งานวิจัยทดลองพื้นฐาน ที่ถูกนำมาต่อยอดในงานวิจัยอื่นๆของ Milgram ค่ะ) 

(ถึงเเม้ว่าจะถูกตีพิมพ์ในปี 1963 เเต่งานวิจัยจริงๆทำในช่วงปี 1961 ค่ะ) 



อันนี้เป็นใบประกาศว่าต้องการคนมาเข้าร่วมการทดลองเกี่ยวกับความจำค่ะ ^_^ (ที่ต้องเขียนว่าเป็นการทดลองเกี่ยวกับความจำนั้น เพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้ผู้เข้าร่วมรู้ถึงจุดประสงค์ของการทดลองจริงค่ะ) โดยทีจะใช้เวลาเพียง 1 ชม เท่านั้น เเละผู้เข้าร่วมการทดลองจะได้ค่าจ้าง 4 เหรียญ ค่ะ (เเละมีค่ารถเเยกต่างหาก 50 cent)  ซึ่งในสมัยนั้นเงิน 4 เหรียญนี่มีค่าเยอะพอสมควรเลย ^_^ 

โดยที่ผู้เข้าร่วมการทดลองจะได้รับเงินเมื่อมาถึงเเลบจิตวิทยาของมหาลัยเยลค่ะ ได้รับเงินก่อนเข้าร่วมการทดลอง เเละนักวิจัยบอกว่าถึงเเม้ว่าผู้เข้าร่วมการทดลองจะออกจากการทดลองกลางคัน ก็ไม่ต้องคืนเงินค่ะ 

เอาละ เข้าเรื่องการทดลองจริงๆ 


ในงานวิจัยนี้มีผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งหมด 40 คน อยู่ในช่วงอายุ 20- 50 ปี และ เป็นเพศชายทั้งหมด (ต่อมามีการทดลองแบบหญิงล้วนด้วยค่ะ เดี๊ยวมีข้อมูลด้านล่างน้า) 
โดยอยู่ในช่วงอายุ ดังต่อไปนี้ 
อายุ 20-29 ปี  = 8 คน 
อายุ 30-39 ปี = 16 คน 
อายุ 40-49 ปี = 16 คน 


ลักษณะการทดลอง (แบบคร่าวๆ)

1)    พาผู้ทดลอง(จริง) กับ ผู้เข้าทดลอง(ปลอม) มาพบนักวิจัยและนักวิจัยก็อธิบายลายละเอียดว่าการทดอลงจะมาแนว มีคนหนี่งเล่นบทครู อีกคนเล่นบทนักเรียน โดยที่นักเรียนจะต้องจำ set คำศัพท์ให้ได้ และต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ set คำศัพท์นั้นๆ ถ้าตอบผิดก็จะถูกลงโทษด้วยการซ๊อตไฟฟ้า นี่เป็นการทดลองเกี่ยวกับว่าคนเราจะจำได้ดีไหมถ้าถูกลงโทษ  (ถ้าเข้าใจไม่ผิดจะเหมือนเกมส์จับคู่คำศัพท์นะคะ)

2)    ให้ผู้ทดลอง (จริง) กับ ผู้ทดลอง(ปลอม) จับฉลากว่าใครจะเล่นบทอะไร (แต่ที่จริงมีการเซ็ตไว้แล้วว่าฉลากทั้ง 2 ใบ เขียนว่า ครู ทั้งคู่ ไม่ว่าผู้เข้าทดลอง(จริง) จะได้ใบไหนก็ได้เล่นบทครู) 

3)    ผู้เข้าทดลอง (ปลอม) ถูกพาไปนั่งเก้าอี้และเตรียมตัวถูกซ๊อต  ผู้เข้าทดลองจริงจะอยู่อีกห้องและได้รับการอธิบายเกี่ยวกับเครื่องซ๊อตไฟฟ้า 

4)    มีการทดสอบก่อนเริ่มจริง เพื่อให้ผู้เข้าทดลองชินกับขบวนการ (ช่วง 15 v – 150 v) ด้วยการให้ผู้เข้าทดลอง (ปลอม) ตอบคำถามด้วยการกดปุ่ม (มีสี่ปุ่ม) ถ้าตอบผิดก็ให้ผู้เข้าทดลองจริงซ๊อตไฟฟ้า  โดยลักษณะการตอบคำถามผิดถูก คือ ผิด 3 ข้อ ถูก 1 ข้อ ค่ะ 

ข้อเพิ่มเติม 

1)    ก่อนการทดลอง ผู้เข้าทดลองจะได้รับการช๊อต 45v เพื่อให้รู้ว่าการถูกซ๊อตมันเป็นอย่างไร และเอาไว้หลอกผู้เข้าทดลองด้วยว่าเครื่องนี้เป็นเครื่องซ๊อตไฟฟ้าจริงๆ (แต่ที่จริงมันเป็นของปลอม) 
2)    เมื่อผู้เข้าทดลอง(ปลอม) ตอบคำถามผิด ผู้เข้าทดลอง(จริง)ต้องประกาศว่าจะซ๊อตไฟฟ้าที่กี่ volt ก่อนจะซ๊อตไฟฟ้า 

ลักษณะการตอบคำถามของผู้นักวิจัย เมื่อผู้เข้าทดลอง (จริง) ต้องการจะหยุดงานวิจัย (ทำตามขั้นตอน 1-4 ไม่มีการข้ามขั้น ถ้าขั้นที่หนึ่งไม่ผ่าน ถึงจะเริ่มขั้นที่ 2 และถ้าผู้เข้าทดลอง(จริง)ต้องการจะหยุดอีกรอบ ก็เริ่มที่ขั้นที่ 1 ใหม่) 

1)    กรุณาดำเนินการต่อไป 
2)    การทดลองนี้กำหนดว่าคุณต้องดำเนินการต่อไป 
3)    มันสำคัญอย่างมากที่สุด ที่คุณต้องดำเนินการต่อไป 
4)    คุณไม่มีทางเลือกอื่น คุณต้องดำเนินการต่อไป 
ถ้าหมด 4 ขั้นแล้วผู้เข้าทดลองยังไม่ยอมทำต่อ ก็ถือว่าสิ้นสุดการทดลองได้ 

ลักษณะการตอบคำถามเเบบพิเศษ

1)ถ้าผู้เข้าทดลอง(จริง)ถามว่า ผู้เข้าทดลอง(ปลอม)จะได้รับบาดเจ็บอย่างถาวรไหม (หมายถึงว่าการถูกซ๊อตไฟฟ้าจะทำให้ผู้เข้าทดลอง(ปลอม) นั้นพิการ หรือ เป็นแผล บาดเจ็บถาวร ไหม)
     a.    นักวิจัย ตอบว่า ถึงแม้ว่าการถุกซ๊อตไฟฟ้าจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่ว่าผู้เข้าทดลอง(ปลอม) จะไม่มีการบาดเจ็บถาวร ดังนั้นคุณดำเนินการต่อไปได้ 

2)ถ้าผู้เข้าทดลอง(จริง) บอกว่า ผู้เข้าทดลอง(ปลอม) ไม่อยากไปต่อแล้ว/อยากหยุดการทดลองแล้ว 
     a.    นักวิจัยตอบว่า  ไม่ว่าผู้เข้าทดลอง(ปลอม) อยากจะหยุดหรือไม่ก็ตาม คุณจะต้องดำเนินการต่อไปจนกว่า เขาจะจำ และจับคู่คำศัพท์ได้ทั้งหมด 



E = นักวิจัย 
T = ครู 
L = นักเรียนระหว่างการทดลองตั้งแต่การทำโทษหนแรก (15v) จนมาถึง 275 v นั้น ผู้เข้าทดลอง(ปลอม) จะตอบคำถามตลอดโดยสัดส่วนข้อถูกต่อข้อผิดคือ 1:3 ค่ะ แต่พอมาถึงที่ 300v ผู้เข้าทดลองจะเริ่มทุบโต๊ะบอกให้หยุดการทดลอง และไม่ยอมตอบคำถาม ซึ่งเมื่อผู้เข้าทดลอง(จริง) หันไปถามความเห็นจากนักวิจัยว่าจะเอายังไงต่อ นักวิจัยจะบอกว่า ให้รอสัก 5-10 วิ ถ้าไม่ตอบ ก็ให้ถือว่าตอบผิด และทำโทษต่อไปได้  และจากคำถามที่ 315 v นั้นผู้เข้าทดลอง (ปลอม) ไม่ยอมตอบคำถามอีกต่อไปค่ะ แต่ว่ามีเสียงทุบโต๊ะหรือบอกให้หยุด นักวิจัยก็บอกว่า ถือว่าเป็นคำตอบที่ผิดและให้ทำโทษไปเรื่อยๆ  และหลังจากนั้นประมาณที่ 375 v (แต่ไม่มั่นใจนะคะ เดี๋ยวต้องเช็คข้อมูลอีกนิด) ผู้เข้าทดลอง(ปลอม) ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกค่ะ 


ผู้เข้าทดลอง(ปลอม) เล่นบทนักเรียน




เครื่องช๊อตไฟฟ้า เเบ่งเป็น 8 ระดับ


เเละผลการทดลองอันน่าตกตะลึง คือ ผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 24 คน (คิดเป็น 65%) นั้นอยู่จนจบการทดลองเเละช๊อตไฟฟ้าคนที่ไม่รู้จักที่ 450 volt เพียงเพราะทำตามคำสั่งนักวิจัย !! 

เเล้วคนอื่นๆที่เหลือละ ความเเรงของไฟฟ้าที่ช๊อตก่อนไม่ยอมไปต่อนั้นอยู่ที่เท่าไหร่ ?? 

300 v = 5 คน  (อันนี้เป็นจุดเเรกที่นักเรียนโวยวายว่าอยากหยุด)
315 v = 4 คน
330 v = 2 คน
345 v = 1 คน
360 v = 1 คน
375 v = 1 คน 

ค่ะ 

โอ้โห ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะเชื่อฟังคำสั่งได้ดีขนาดนี้ ... เเต่เเน่นอนว่าทุกคนที่เข้าร่วมการทดลองไม่ได้มีความสุขกับการช๊อตคนที่ไม่รู้จักนะคะ ทุกคนมีอาการตามด้านล่างนี้ อย่างน้อยคนละ 1 ข้อ 

1) มีอาการชัก (รู้สึกว่ามีเเค่คนเดียว) 
2) หัวเราะเเบบประสาทเสีย 
3) โมโหนักวิจัย 
4) มีอาการตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด 

----------------------------------


เเต่จากการทดลองข้างบนบอกอะไรได้บ้าง นอกจากที่ว่าคนเรายอมทำตามคำสั่งของคนอื่น(ที่มีอำนาจ-ในที่นี้คือนักวิจัย) เราก็ยังมีคำถามอีกมากมาย เเต่จะเป็นอย่างนั้นในทุกสถานการณ์ไหม ใครจะสั่งก็ได้หรือ ถ้าผู้เข้าทดลองเป็นหญิงล้วนล่ะจะเเตกต่างกันไหม ผู้เข้าทดลองประท้วงกันบ่อยขนาดไหนระหว่างการทดลอง ....  

ซึ่งคำตอบนั้นไม่มีบอกในงานวิจัยข้างต้น 

เราเลยไปค้นหางานวิจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องมาอีก ซึ่งก็เจอ!!! กับงานวิจัยชื่อว่า Meta- Milgram : an Empirical synthesis of the obedience experiments ที่นำการทดลองทั้งหมด 21 งานวิจัยของ Milgram มาตีเเผ่ เปรียบเทียบ เเละวิเคราะห์ค่ะ  (จากทั้งหมด 23 งานวิจัย)

จาก  Meta- Milgram : an Empirical synthesis of the obedience experiments  

์Haslam, Lounghnan, Perry (2014) ได้รวบรวมงานวิจัยที่ได้ทดลองโดย Stanley Milgram ตั้งเเต่เดือนสิงหายน ปี 1961 มาจนถึงเดือนมีนาคม ปี 1963 ทั้งหมด 23 งานวิจัย (เเต่มาวิเคราะห์จริงๆ 21 งานวิจัย) ดังต่อไปนี้ค่ะ  




*ใครงงบอกได้นะคะ เผื่อเราเเปลไม่ชัดเจน

สัญลักษณ์ต่างๆ 

T = ครู 
L = นักเรียน
E = นักวิจัย 

เเละมาดูกันว่าในเเต่ละสถานการณ์ มีคนที่ช๊อตถึง 450 volt นั้นเยอะขนาดไหนนะ  (น่าสนใจมากๆที่งานวิจัยนี่ใช้คนน้อยมากค่ะ บางอันก็ 40 คน บางอันก็ 20 คน เท่านั้น การทดลองเท่าที่เข้าใจคือ ผู้เข้าทดลองเป็นชายล้วนหมดค่ะ ยกเว้น การทดลองในข้อที่ 21 ที่เป็นหญิงล้วน)



เเละพอลองมาไล่ดูจากน้อยไปมากเเล้ว 



ในสถานการณ์ที่เราเลือกได้ว่าเราจะช๊อตเท่าไหร่ ไม่มีใครบังคับ มีเพียงคนเดียว (2.5%) เท่านั้นที่ช๊อตจนถึง 450v  เเต่กลับกัน ถ้าเราไม่ได้เป็นคนช๊อตเอง เเต่อยู่ในเหตุการณ์ที่บอกให้คนอื่นช๊อตเเทนเรา ผู้เข้าทดลองถึง 37(92.5%) คน ยอมอยู่ต่อจนจบการทดลองค่ะ 

เเต่ที่น่าสนใจมากในการวิเคราะห์ของ Haslam, Lounghnan, Perry (2014) คือ เขาเเบ่งการทดลองของทั้ง 21 ของ Milgram เป็น 14 ส่วนด้วยกันคะ ตามนี้เลย 



อันนี้ฉบับเเปลไทยเเล้ว (ที่เราบอกว่าตามตารางเรา เพราะเราเรียงงานวิจัยต่างจากของHaslam, Lounghnan, Perry (2014) นิดหน่อยค่ะ )

จากนั้นได้นำค่าเฉลี่ยของเเต่ละกลุ่มมาเทียบกัน ดูว่าในสถานการณ์เเบบไหน จะมีผู้ยอมทำตามคำสั่งมากกว่ากัน 

ตรงนี้ต้องรู้จักค่าในสถิติก่อนนะคะ คือ ค่า P-value เป็นการดูว่า
1) ความของคะเเนนของทั้ง 2 กลุ่มนั้น ต่างกันจริงๆหรือว่าต่างกันเพราะดวง/โชคช่วย กันเเน่ 
2) ผลลัพท์นั้นมีนัยยะสำคัญไหม  ยิ่งค่า P-value ต่ำเท่าไรยิ่งดีค่ะ  
3) ยิ่งค่า p-value น้อยเท่าไหร่ ยิ่งเเปลว่าผลของานวิจัย 2 กลุ่มต่างกันมากเท่านั้นนั้นค่ะ 

ในการทดลองจิตวิทยาส่วนใหญ่จะตัดค่า p-value ที่ 0.05  (p<0.05) หรือ 0.01 (p<0.01)  ซึ่งเเปลได้ว่า ผลลัพท์ของงานวิจัยนี้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย/ดวง น้อยกว่า 5% หรือ 1% ค่ะ  หรืออีกเเง่คือ ผลลัพท์ของงานวิจัยนั้นเกิดจากสถานการณ์ที่นักวิจัยทดลองถึง 95-99% ค่ะ 


ส่วนใครสงสัยว่า เเล้ว x^2 นั้นคืออะไร อันนี้คือค่า  t^2 จากการนำผลการทดลองไปเข้าสู่ขบวนการของ independent -t test ค่ะ ^_^ เป็นค่าที่บอกว่าความเเตกต่างของ 2 กลุ่มนั้นต่างกันเเค่ไหน 

เอาละมาดูตารางกัน 




ยกตัวอย่างเช่น 

กลุ่มนักวิจัย สถานการณ์ 1) number  มีนักวิจัย 2 คนอยู่ในการทดลอง  คือ การทดลองที่ 16, 17 

กลุ่ม code 1 : การทดลองที่ 16 มีคนทำตามคำสั่ง 20%  การทดลองที่ 17 มีคนทำตามคำสั่ง 65%  ค่าเฉลี่ยของคะเเนน คือ 43% (0.43) ค่ะ  
กลุ่ม code 0 : การทดลองที่เหลือ มีคะเเนนเฉลี่ยที่ 44% (0.44) ค่ะ 

เเละเมื่อเปรียบเทียบคะเเนนของทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าค่า p-value อยู่ที่ 0.879  นั้นก็คือ ความเเตกต่างของคะเเนนระหว่างกลุ่ม code 1 กับ code 0 นั้น เกิดขึ้นเพราะดวงช่วยถึง 87.9% (ไม่มีนัยยะสำคัญ) หรืออีกเเง่คือ ระหว่างมีนักทดลองเเค่คนเดียวหรือสองคน ไม่ได้ทำให้ผลการทดลองเเตกต่างกันเลยค่ะ 

เเต่ถ้ามองกลุ่ม teacher ผู้หญิง เทียบกับ ผู้ชายเเล้ว 

กลุ่ม code 1: การทดลองที่ 21 หญิงล้วน คะเเนนคิดเป็น % ที่ 65% (0.65)
กลุ่ม code 0 : การทดลองที่เหลือ ชายล้วน  คะเเนนเฉลี่ยอยู่ที่ 42% (0.42)

พบว่าค่า p-value อยู่ที่ p=0.005 เเปลว่า ความเเตกต่างจำนวนผู้หญิงเเละผู้ชายที่ยอมทำตามคำสั่งนั้น เเตกต่างกันจริงๆ เเละโอกาศที่คะเเนนที่ต่างกันนั้นเกิดเพราะโชคช่วย อยู่ที่ 0.5% เท่านั้น  จึงสรุปได้ว่า การทดลองนี้มีนัยยะสำคัญ  ผู้หญิงนั้นง่ายต่อการถูกกดดันให้ทำตามคำสั่งมากกว่าผู้ชายค่ะ

** เเต่ส่วนตัวเราไม่มั่นใจว่ามันจะเทียบกันจริงๆได้ไหมนะคะ เพราะว่า condition ต่างๆในการทดลองเเตกต่างกันค่อนข้างมากจริงๆ เเต่เรานำเสนอตามที่นักวิจัยได้กล่าวไว้ค่ะ

คำถามต่อไปที่เรามี หลังจากที่รู้เเล้วว่าในเต่ละสถานการณ์นั้นมันจะได้ผลลัพท์ประมาณไหน คือ เเล้วคนทั่วไปเขาไม่ขอหยุดการทดลองหรอ เเละถ้าขอหยุด จะขอหยุดที่ volt เท่าไหร่กัน จากงานวิจัยของ Dominic J. Packer ที่ชื่อว่า Identifying Systematic Disobedience in Milgram’s Obedience Experiments A Meta-Analytic Review โดยดูที่ 8 งานวิจัยเเรกๆของ Stanley Milgram 



พบว่าคนส่วนใหญ่จะเริ่มขอหยุดตอนที่ 150 volt ค่ะ เเละไปหยุดกันอีกทีที่ 450 volt

ทำไมหยุดที่ 150 volt ละ  ที่ 150 volt นั้นเป็นจุดสำคัญ เพราะเป็นหนเเรกเลยที่ นักเรียน ขอให้หยุด (จำได้ไหมเอ่ยว่ามีการ practice ช่วง 15v-150v ก่อนที่จะเข้าคำถามจริง) พอจะเริ่มเข้าการทดลองจริง นักเรียนก็ขอให้หยุดก่อน โดยบอกมาเเนวว่า นักเรียนมีสิทธิที่จะหยุด ซึ่ง Packer ได้วิเคราะห์ว่า การหยุดในช่วง 150 volt นั้น ไม่ได้หยุดเพราะว่านักเรียนรู้สึกเจ็บปวด เเต่เป็นเพราะว่า ผู้เข้าทดลองที่เล่นบทครูนั้นมองถึงสิทธิของนักเรียนมากกว่าที่จะหยุดเพราะนักเรียนเจ็บค่ะ  (เพราะนักเรียนเริ่มบอกว่าเจ็บที่ 300v)

 

ดร. โธมัส แบลส แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ บัลติมอร์เคาน์ตี ทำการอภิวิเคราะห์ต่อผลของพฤติกรรมที่แสดงออกมาซ้ำ ๆ ในการทดลอง เขาพบว่าร้อยละของอาสาสมัครที่เตรียมช็อกด้วยกระแสไฟฟ้าที่ถึงตายยังคงมีสูงอยู่อย่างประหลาด คือ 61-66% โดยไม่ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ทดลอง

 

เคยมีหนังอยู่เรื่องหนึ่ง  จขกท. เคยดู ลองหามาดูนะจ้าาา 

Experimenter Official Trailer 1 (2015)

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ลูกสาวอบต's profile


โพสท์โดย: ลูกสาวอบต
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่นเครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจทึ่งทั่วโลก : หุบเขาเทวดาวั้งเซียนกู่" หมู่บ้านที่สร้างอยู่ริมหน้าผา สถานที่ท่องเที่ยวแสนน่าทึ่งของประเทศจีนจีน ไฟเขียว ให้ไทย ถล่มรังแก๊งสแกมเมอร์ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวนธนาคารประกาศปิดแอปบนมือถือระบบเก่า เริ่ม 14 ก.พ. 69 ใครใช้ iOS ต่ำกว่า 14 หรือ Android ต่ำกว่า 10 เข้าแอปไม่ได้นักมวยรองแชมป์โอลิมปิก แซะเจ้าภาพไทย หลังตกรอบรองฯ ซีเกมส์ 33บริษัท "แอปเปิ้ล" เปลี่ยนโลโก้ของบริษัทอย่างเงียบๆไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญสาวไทยปากแจ๋ว! ซัดสื่อไทยปล่อยข่าวเว่อร์..เธออยู่ปอยเปตก็ปกติดี ไม่โดนจับเป็นตัวประกันเปิดภาพหายากกลางป่ามรดกโลก! “ตั๊กแตนหัวมังกร” โผล่เขาพะเนินทุ่ง สะท้อนความอุดมสมบูรณ์แก่งกระจานความทรงจำ 45 ปี เมื่อไมโครเวฟรุ่นคุณปู่เตรียมปลดเกษียณ สู่ตำนานในพิพิธภัณฑ์
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อาวุธของกัมพูชาชนิดใดบ้าง ที่สร้างความเสียหายต่อเป้าพลเรือนไทยจิ๋วแต่แจ๋ว! ค้นพบ “กบจิ๋ว” สายพันธุ์ใหม่ในบราซิล ขนาดเล็กเท่าปลายนิ้ว นั่งบนดินสอได้สบายความทรงจำ 45 ปี เมื่อไมโครเวฟรุ่นคุณปู่เตรียมปลดเกษียณ สู่ตำนานในพิพิธภัณฑ์เปิดภาพหายากกลางป่ามรดกโลก! “ตั๊กแตนหัวมังกร” โผล่เขาพะเนินทุ่ง สะท้อนความอุดมสมบูรณ์แก่งกระจานวินาทีชีวิต เจาะลึก "การนอนสุดขั้ว" ของสัตว์ป่าที่มนุษย์คาดไม่ถึงธนาคารประกาศปิดแอปบนมือถือระบบเก่า เริ่ม 14 ก.พ. 69 ใครใช้ iOS ต่ำกว่า 14 หรือ Android ต่ำกว่า 10 เข้าแอปไม่ได้
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
"เห็ดซิการ์ปีศาจ" รูปร่างเหมือนดอกไม้บาน หนึ่งในเห็ดที่ "หายาก" และ "แปลก" มากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง"ไพรเกสตูเลน" หน้าผาหินแบนสุดอลังการในนอร์เวย์“คาล์ฟคิก” ท่าเตะเงียบที่ทำให้นักมวยไทยหลายคน ยางแตกกลางยกแมงมุมกระโดดเลียนแบบมด ที่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมด
ตั้งกระทู้ใหม่