"เงิน"กับการเปลี่ยนแปลงสถานะ
การเปลี่ยนสถานะ หรือ วิวัฒนาการ ของเงิน
1.ยุคผักแลกไก่
สมัยก่อนยังไม่มีเงินเราใช้สิ่งของแลกกัน เช่น ใครมีแตงโมเอามาแลกข้าวสาร ใครมีไก่ก็เอามาแลกแตงกวา อะไรทำนองนี้ครับ
2.หอยเบี้ย
การแลกผักแลกไก่กันไม่มีอัตราที่แน่นอน และเก็บสะสมไม่ได้ เราเริ่มสร้างหอยสร้างเบี้ยขึ้นแล้วตีราคาให้มัน ก็สามารถใช้หอยเบี้ยแลกซื้อผัก แลกซื้อไก่ได้
3.ยุคทองคำ
แต่เมื่อหอยเบี้ยนั้นหาใหม่และสร้างขึ้นได้ เราเริ่มให้ราคาสิ่งที่หายากและสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้นั่นคือทองคำ
4.ยุคเหรียญและธนบัตร
ต่อมาถูกพัฒนาเป็นเหรียญและธนบัตร โดยมีทองคำค้ำราคาเป็นแบ็กกราวไว้ เนื่องจากการใช้ทองคำในการแลกเปลี่ยนและพกพา ไม่สะดวกเอาเสียเลย
ประเทศไหนจะพิมพ์เงินก็ต้องมีทองสำรองค้ำไว้ ทำให้ธนบัตร หรือ สกุลเงินนั้นๆมีค่าคงอยู่เรื่อยมา
>>>เข้าสู่ยุคดิจิตอล
ใช้เงินเหรียญหรือธนบัตรต้องหอบต้องหิ้วต่อมาพัฒนาเป็นบัตรพลาสติก หรือบัตรเครดิต เดบิต การใช้บัตรเคดิต หรือเดบิตถูกจำกัดวงเงินในการกด
แต่การโอนระหว่างประเทศนั้นทำได้ยาก จึงถูกพัฒนามาเป็นการโอนเงินผ่านอากาศ หรือ E-Currency ผ่านบริษัทเอกชน
แต่การโอนเงินเสียค่าธรรมเนียมแสนแพง
ทำให้เกิดสกุลเงินดิจิตอลขึ้น ที่เราเคยได้ยิน บิทคอย(btc) อีทีเรียม(eth) ริปเปิ้ล(xrp) ฯลฯ ซึ่งสามารถโอนได้ทั่วโลก ใช้เวลาน้อย และค่าทำเนียมแสนจะถูก
แต่เบื้องหลังที่เกิดคลิปโต หลายคนกล่าวว่า เพราะปัจจุบัน สหรัฐ ไม่ใช้ทองคำค้ำค่าเงินดอลล่าสหรัฐ(usd) และพิมพ์เงินกระดาษออกมาเรื่อยๆ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อโครงการ QE ทุกวันนี้ก็ยังพิมพ์เงินดอลล่าสหรัฐออกมาเรื่อยๆ ซึ่งเงินดอลล่าควรจะไม่ทีค่าไปแล้ว แต่ที่ยังมีค่าอยู่ทุกวันนี้เพราะ สหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจ ได้ตั้งกฎให้การซื้อขายน้ำมันต้องใช้สกุลเงิน usd ทำให้เสมือนว่า มีน้ำมันค้ำอยู่ เพราะประเทศไหนต้องการน้ำมันก็ต้องมีเงิน usd เพื่อซื้อ ตราบที่ยังต้องการน้ำมัน ก็ยังมีความต้องการ usd สกุลเงินเลยยังมีราคาจนตอนนี้ และการสำรองเงินของประเทศต้องสำรองเป็น usd อีกด้วย
ทำให้ชายนิรนาม นามปากกาว่า ชาโตชิ สร้างสกุลเงินที่เรียกว่า bitcoin บิทคอยขึ้นมา ซึ่งไม่ต้องมีตัวกลาง(ไม่ต้องมีธนาคาร) และไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ มีจำกัด เพื่อมาลบล้างวงจรการเงินอุบาตของ...