The Diary บันทึกสีชมพู...ที่หน้าประตูสีม่วง ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
17 ปีที่แล้ว
ผมเรียนอยู่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่จังหวัดลำปาง เป็นโรงเรียนคริสต์ที่มีชื่อเสียง (ซึ่งบางคนมันทะลึ่งแปลชื่อย่อโรงเรียนผมซะเสียเลยว่า ไอ้ เสือ ชุ่ย ฮึ่ม! มันน่านัก) ผมเรียนที่นี่มาตั้งแต่ ป.1 จนตอนนี้ผมอยู่ ม.5 แล้ว หลังจากที่ปิดเทอมไปอยู่ที่บ้านนานพอควร ก็ถึงเวลาที่นักเรียนสุดซ่าขาสั้นต้องกลับมาอยู่หอรอรักอีกครั้ง บ้านผมอยู่ต่างอำเภอน่ะ ส่วนโรงเรียนอยู่ในตัวเมือง เพื่อความสะดวกพ่อกับแม่ก็เลยให้ผมมาอยู่ที่หอใกล้ๆ โรงเรียน ซึ่งหอที่ผมอยู่นี้เป็นหอของมาสเตอร์บุญเย็น (มาสเตอร์ก็คือครูนั่นแหละครับ โรงเรียนคริสต์เค้าจะเรียกอย่างนี้กัน) ซึ่งท่านก็สอนอยู่ที่โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ด้วย ท่านสอนวิชาคณิตศาสตร์น่ะครับ บ้านของท่านเปิดเป็นหอพัก แล้วมีร้านขายของอยู่หน้าบ้าน เด็กที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับผมซะส่วนใหญ่ จะมีต่างโรงเรียนบ้างก็คนสองคน
ผมมาถึงก่อนวันเปิดเรียนวันนึง หอยังเงียบอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีใครกลับมา ผมหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังเดินเข้าหอ สวัสดีทักทายมาสเตอร์และภรรยาของท่านซึ่งเป็นครูเหมือนกัน แต่สอนคนละโรงเรียน ก็คุยกันนิดๆ หน่อยๆ ผมก็ขอตัวท่านไปเก็บของเพราะมันหนักและก็เยอะเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงตู้เสื้อผ้าของผมนั้น ผมได้เดินผ่านเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนม้านั่งยาวคนเดียว นึกในใจ...ใครวะ? หน้าตาน้องเค้าก็น่ารักใช้ได้ทีเดียวเชียวแหละ แต่ผมก็ได้แค่เหลือบมองนิดๆ เท่านั้น ก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ ขอไปจัดการกับของในมือก่อน โอ๊ยยยย! หนัก...
ตกเย็นบรรดาเด็กหอทั้งหลายก็ทยอยกลับมาจนครบทุกคน โหวกเหวก เจี๊ยวจ๊าว มึงมาพาโวยกันสนุกตามสไตล์เด็กโจ๋ที่ไม่ได้เจอกันนาน ผมก็ด้วยแหละ นั่งเมาท์เรื่องตลกๆ กับ ‘โอ’ และ ‘ใหญ่’ สองน้องเตยหัวใจแหววที่สนิทกับผมอย่างออกรสออกชาติเหมือนกัน
“เออ พี่เนล เห็นเด็กใหม่หรือยังอะ น่ารักเนอะ” นังใหญ่ แต๋วแหววรุ่นน้อง ม.2 ต่างโรงเรียน เริ่มเอ่ยถึงเด็กผู้ชายคนที่ผมเจอตอนกลางวัน
“อ๋อๆ อืม...ชื่ออะไรน่ะ อยู่ชั้นไหน” ผมเริ่มสนใจขึ้นมาทันที
“ชื่อตั้ม มาจากเชียงใหม่ ย้ายโรงเรียนจากที่นู่นมาเข้า ม.1 ที่นี่ มากับน้องอีกคนชื่อดิว”
โห เชื่อเลย ขนาดผมกลับมาถึงก่อนมัน เห็นน้องคนนี้ก่อนมัน ผมยังไม่รู้ลึกรู้ดีเท่ามันเลย
“คนชื่อดิวดูเหมือนจะเป็นนะ น้องว่า" โอ เตยหวานหน้าตาน่ารัก รุ่นน้อง ม.2 โรงเรียนเดียวกับผมที่มักจะแทนตัวเองว่าน้อง เริ่มออกความเห็นถึงน้องของตั้ม
“เหรอ...เออ เข้าไปเมาท์ในห้องดีกว่า จะได้แต่งหน้าเล่นกันด้วย”
แต่งหน้า เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ผมมักจะแต่งเล่นให้โอกับใหญ่เป็นประจำ สวยบ้าง เละบ้าง แล้วแต่อารมณ์ แต่เด็กมันก็สมยอม เพราะกะเทยน้อยหอยเสียบพวกนี้อยากสวยกันอยู่แล้ว ขอให้ได้มีสีสันบรรเลงบนใบหน้าเหอะ แต่งเสร็จก็ตามสเต็ป เดินประกวดเล่นกันสองคนในห้องนอน อ้อ! ห้องนอนของผมเป็นห้องนอนรวม ที่นี่จะมีอยู่ 3 ห้องใหญ่ ห้องนึงก็จะมีประมาณ 6-7 คน ซึ่งตั้มก็นอนอยู่ในห้องเดียวกับผมด้วย!
……………………………………………
ชีวิตในช่วงนักเรียน ม.ปลายของผมก็ยังคงสนุกสนานกับกิจกรรมมากมายเช่นเคย อาจจะมีลดน้อยลงไปบ้าง เพราะอยู่ในช่วงที่ต้องเตรียมตัวในการสอบเอ็นทรานซ์ แต่ไม่ว่าเวลาที่โรงเรียนมีงานเล็กใหญ่ยังไง ก็ต้องมีผมและเพื่อนๆ สนิทในกลุ่มจัดการแสดงร่วมตลอด ซึ่งตอนอยู่ ม.ต้นกลุ่มผมจะมีกันหลายคน แต่พอขึ้นม.ปลายก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปเรียนต่อที่อื่น ที่หลงเหลืออยู่เป็นปูชนียสถานประจำโรงเรียนก็มีผม เออุ่ม และเอจักรี ทีมสตรีทีสเกิร์ตที่ยังคงกอดคอกันแหวว สร้างความครื้นเครงและป่วนชาวบ้านได้ไม่หยุด
หลังเลิกเรียนอีกหนึ่งกิจกรรมที่พวกเราไม่เคยพลาดเลย (เพราะถ้าพลาดอาจจะถูกมาสเตอร์โค้ชหน้าเข้มด่าเอาได้) นั่นก็คือต้องซ้อมวอลเลย์บอล เพราะพวกเราเป็นนักกีฬาของโรงเรียน และเคยสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนด้วยการคว้าเหรียญทองมาแล้ว (เก่งมั้ยล่ะ 555)
เออ...พูดถึงวอลเลย์บอลทีไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมใครๆ ก็ต้องบอกว่าวอลเลย์บอลเป็นกีฬาของกะเทย ทั้งๆ ที่ผู้หญิงก็เล่น ผู้ชายก็เล่น (ถึงแม้เปอร์เซ็นต์น้อยก็ตาม) อืม...ผมคิดเอาเองนะ หรือจะเป็นเพราะมันมีต้นกำเนิดมาจากซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง ‘ยอดหญิงชิงโอลิมปิก’ อะไรนี่แหละ ที่มีตัวเอกชื่อ จุง โคชิกะ (จำได้บ่? ถ้าจำบ่ได้ผมว่าคงต้องนั่งทางใน หรือไม่ก็ต้องระลึกชาติเอากันแล้วล่ะ) ซึ่งแต่ละนางก็จะมีท่าไม้ตายทั้งลูกตบจานบิน ลูกเสิร์ฟม้วนถล่ม ลูกเตะฟรีคิก เอ๊ย! อันหลังนี้ไม่ใช่นะ แหะๆๆ เหล่านี้กระมังน้องนุชตุ๊ดแต๋วเลยอยากตั้งแถวหน้ากระดานให้โค้ชขานชื่อ ฮิตาชิ มาค่ะ...ซันโย มาค่ะ...มิตซูบิชิ มาค่ะ แล้วรวมตัวกันโชเด๊ะ! วาดลวดลายอรชรทั้งตีทั้งตบลูกยางกันอย่างเมามัน ซึ่งครั้นจะให้ไปเตะฟุตบอลก็คงกลัวสีข้างจะหัก เพราะพวกผู้ชายอาจแกล้งเตะพลาดแล้วมาฟาดใส่เอา หรือจะให้ไปเล่นบาสฯ อะโห ชอบอะชอบอยูร้อก ปะทะเนื้อๆ เน้นๆ แต่ถ้าถูกทั้งศอก ทั้งไหล่ ทั้งตัวกระแทกเอา ผมว่าอีกไม่ช้าคงได้นั่งวีลแชร์ไปแข่งพาราลิมปิกเกมส์เป็นแน่...
สรุป! วอลเลย์บอลน่ะเจ๋งสุดแล้ว มันคงเป็นกีฬาที่ปลดปล่อยสุดๆ สำหรับคนพันธุ์ G(ay) น่ะ ก็แหม...เสิร์ฟได้ก็กรี๊ด ตบได้ก็กรี๊ด รับได้ก็กรี๊ด แถมถูกตบใส่หน้าก็ยังกรี๊ดอีก (อ๊ากกก เจ็บนะยะ ดั้งกู!!!) 555+ เอวังก็ด้วยประการฉะนี้แหละน้อออออ...
.......................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ