ความคิดถึงในยุค 80s
หลายคนอาจจะบอกว่าไม่ว่าจะยุคไหน การจากลา ก็ให้ผลลัพท์ที่เจ็บปวดหมดแหละ ฉันเห็นด้วย
แต่เป็นความเจ็บปวด ที่มีความต่างกันไปตามบริบทของความสัมพันธ์
ครั้งหนึ่ง ตอนเราทุกคนในครอบครัวกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่กันพร้อมหน้า
บนหน้าจอเป็นรายการที่รวบรวมภาพยนตร์ในยุคก่อนๆ มาฉายให้ผู้ชมดู ฉันตกหลุมรักการสารภาพความในใจของตัวละคร และหลงไหลในการแสดงท่าทีของพระนาง รักในสไตล์และสภาพแวดล้อมในยุคนั้น
ฉันชอบทุกอย่างในภาพยนตร์ และมันเป็นภาพยนตร์ในยุค 80s-90s แทบทั้งสิ้น
คนหนึ่งที่ดูจะอินมากๆ ก็คือพ่อกับแม่
แม่เล่าเรื่องความรัก และมิตรภาพตอนยังเป็นวัยรุ่นให้ฉันกับพี่ฟัง
ฉัน, วัยรุ่นที่กำลังเรียนรู้ในการใช้ชีวิต ได้ดูการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์แล้ว ก็มาฟังเรื่องราวที่ถ่ายทอดจากพ่อกับแม่บ้าง
เรื่องที่แม่เล่า คนฟังอย่างเราๆ กลับรู้สึกเขิน ในแบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความรู้สึกอะไรแบบนั้น ทั้งที่สมัยนี้คู่รักก็มีให้เห็นถมเถไป
(บางครั้งแค่เดินไปสั่งข้าวไข่ดาวที่ร้าน ก็อาจได้เห็นความรักกุ๊กกิ๊ก ในแบบที่หนุ่มสาวกำลังตักข้าวให้กัน และหยิกแก้มกันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว)
แต่บ่อยครั้ง ที่คนยุคเราโหยหาชีวิตในอดีต และต้องการให้มันกลับมาโลดแล่นในช่วงเวลาของเราๆ อีกครั้ง
เช่น ฉัน เป็นต้น
เพราะรู้สึกว่า เราเข้าใกล้กันและกันได้มากกว่ายุคสมัยปัจจุบัน ที่มีอะไรแทรกอยู่ตรงกลางตลอดเวลา
ที่ขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็เริ่มเข้าใกล้กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นนั้นแปรผักผัน กับชีวิตในอดีตอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน จนถึงตอนนี้ ที่สิ่งต่างๆ ก็ยังคงไม่เข้าที่เข้าทาง หัวใจของคนเราจึงต้องทำใจยอมรับและอยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหล่านี้
ยุค 80s -90s เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของไลฟ์สไตล์ชีวิต กับความความสัมพันธ์ทางเทคโนโลยี
ดังนั้น การจากมาและจากไปของอะไรหลายๆ อย่าง จึงมีให้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวันในตอนนั้น (ฉันว่านะ)
🍃🍃
แม่เล่าถึงมิตรภาพกับความรักที่ได้เจอ เล่าว่าทุกๆ ความสัมพันธ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ต่างกลายเป็นเรื่องยาก
ยากในแบบที่ เมื่อเกิดการจากลา ก็จะหลงเหลือความคิดถึงไว้ให้เราอย่างไม่ปราณี
ฉันฟังแล้วก็คิดตาม ถ้าความคิดถึงล่ะก็ ฉันก็เคยนะ มันก็คงเจ็บปวดไม่แพ้กับในวัยของแม่นักหรอก
แต่ความคิดถึงในยุคนั้นกับยุคนี้มันต่างกันน่ะสิ
สิ่งที่กำลังแทรกอยู่ระหว่างความคิดถึงของคนเราในยุคสมัยนี้ก็คือเทคโนโลยี(อย่างเต็มที่) แต่สิ่งที่แทรกอยู่ระหว่างความคิดถึงของคนในยุคก่อนก็คือ ‘ความคิดถึง’
แม่บอกว่า นานมากเลยที่จะติดต่อกับเพื่อนที่แยกกันหลังจากเรียนจบได้
จดหมายหนึ่งฉบับ ใช้เวลาเดินทางช้ากว่าความคิดถึงและความโหยหา เป็นร้อยเป็นพันเท่า
ในขณะที่ความคะนึงถึงกำลังทำงานของมันอย่างไม่หยุดพัก จดหมายที่ใส่ตัวแทนของความรู้สึกลงไป ก็ดูจะเล่นตัวให้เราได้หงุดหงิดอยู่บ่อยครั้ง
ถึงจะต้องปล่อยใจไปตามสายลม(ฮ่าๆ) และให้หน้าที่ของไปรษณีย์เป็นตัวกลางรับส่งข่าวสารถึงกัน แต่ต่างคนต่างชักจะอดรนทนไม่ได้ เพราะการทำงานของไปรษณีย์ในบางครั้ง ก็ดำเนินการไม่ทันความต้องการพวกเขา
หมายถึง ‘ความรู้สึก และความคิดถึง’ นั่นล่ะ 😁
แต่ทำไงได้เล่า มันไม่ใช่ความผิดของใคร
แม่ ในตอนนั้นก็ทำได้แค่หวังว่า คนปลายทาง เมื่อได้รับจดหมาย แล้วคงยิ้มออก ที่มีอีกคนกำลังรอฟังเรื่องราวจากอีกฟากฝั่ง
มิตรภาพก็ยังคงเป็นมิตรภาพ และมิตรภาพวิเศษสำหรับพวกเขาเสมอ
ทั้งนี้
สมการ ‘ระยะทาง + เวลา’ จึงกลายเป็นเรื่องที่วัยรุ่นในสมัยนั้นหนักอกหนักใจอยู่ไม่น้อย
อีกหนึ่งสิ่งคือโทรศัพท์
โทรศัพท์ที่ไม่ได้ทันสมัยเหมือนกับสมัยนี้ จึงกลายเป็นวายร้ายจอมเย่อหยิ่งสำหรับฉันไปโดยปริยายด้วย
โดยทั่วไป น้อยคนที่จะมีโทรศัพท์ใช้ ยิ่งเป็นวัยรุ่นยิ่งยังไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์ไว้ติดบ้าน
การจากลาสำหรับแม่และพ่อ จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากๆ
ห่างกันแค่จังหวัดเดียว ก็ใจหวิวแล้ว
ต่างคนต่างอยากรู้ว่า ชีวิตของอีกฝั่งเป็นยังไงบ้าง อยากให้กลับมาเล่าสู่กันฟัง
ตอนเรียนจบ และรู้ว่าทุกคนต้องห่างกันออกไป ไปอยู่คนละที่ หรือแม้กระทั่งความรักที่ต้องจากลากัน มันทำให้คนบางคนถึงกับร้องไห้เป็นอาทิตย์
เพราะนึกถึงว่า วันข้างหน้าที่จะมีโอกาสคุยกันน้อยลงเรื่อยๆ และเรื่องราวของอีกคน ที่กำลังจะห่างไกลออกไป
ฉันอดเอาใจเข้าไปใคร่ครวญกับความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้ ยิ่งคิด ก็ยิ่งใจหวิวตามไปกับเรื่องที่แม่เล่า
จากประเด็นนี้ ฉันก็ยกให้โทรศัพท์ รับบทจอมวายร้ายอีกหนึ่งอย่างไปแบบไม่รู้ตัว
ความคิดถึงในยุคนั้น ใจร้ายจังเลยเนาะ
ด้านหนึ่ง ก็รู้สึกดีที่ในทุกวันนี้ เรายังมีสมาร์ทโฟนให้ได้ติดต่อกับเพื่อน ที่บางคนก็ไปเรียนที่อื่น และบางคนก็ย้ายไป เราส่งความคิดถึง และเรื่องราวถึงกันได้ แค่คลิกเดียว
แต่กับหนุ่มสาวในยุคก่อนๆ นั้น มันคงเป็นสิ่งที่เศร้าใจมากกว่าหลายเท่า ถ้าวันหนึ่งความคิดถึงกำลังเล่นบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ของพวกเขา
ในทุกส่วนท้ายๆ ของความรู้สึก ฉันอดใจหายไม่ได้เลยกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทที่โอบล้อมตัวมนุษย์เรา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่า
เรื่องเล่าจากพ่อกับแม่นั้นน่ารักเสมอ 💛
ในท้ายที่สุดมันจะให้บางอย่างกับเรา ได้เรียนรู้ว่า หนึ่งสิ่งสำคัญที่ยังไม่หายไปกับการแปรผันของยุคสมัย ก็คือความรู้สึกที่ยังทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างไม่หยุดพัก