ความซวยมาเยือน ประจักษ์ชัย – ลำไย โดนอีกดอก อัจฉริยะร้องปปง.สอบฟอกเงิน 100 ล้าน
จากกรณีดราม่า ความขัดแย้งระหว่างนักร้องสาวลูกทุ่งชื่อดัง อาม ชุติมา กับ ประจักษ์ชัย ไหทองคำ ผู้บริหารค่ายไหทองคำ เกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ และ สัญญาการทำงาน จนนำมาสู่ การแจ้งความจับกุม อาม ชุติมา หลังเล่นคอนเสิร์ต แม้ภายทั้งสองฝ่ายพยายามไกล่เกลี่ยกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และเกิดกระแสโจมตีกันไปมาระหว่างอาม และ ค่ายไหทองคำ โดยผู้คนบนโซเชียลส่วนมากโจมตี ว่า นายประจักษ์ชัย นั้นรังแกเด็ก กระทั่ง 2 ทนายดัง ทั้งทนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ยื่นมือช่วยเหลือ
อาม ชุติมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าพบร.ต.อ.ไพรัตน์ เทศพานิช เลขานุการกรม สำนักงานปปง. เพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของนายประจักษ์ชัย เนาวรัตน์ นางโยษิตา เนาวรัตน์ ภรรยาของนาย ประจักษ์ชัย และน.ส.สุพรรณษา เวชกามา (ลำไย ไหทองคำ) ตามมาตรา 37 ตรี และ มาตรา 37 ทวิ ตามประมวลรัษฏากรฐานร่วมกันฟอกเงิน
นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา นายประจักษ์ชัย ส่งสมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยชื่อดัง โทรมาหาตนว่า จะขอเรียกค่าใช้จ่ายจาก อาม ชุติมา 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่ายกเลิกสัญญา ตนเลยตอบกลับไปว่าเราไม่มีวัตถุประสงค์จะจ่ายเงินนายห้างและน้องอามก็ไม่มีเงินที่จะจ่าย อีกทั้งที่ผ่านมาถูกเอาเปรียบอยู่แล้ว จึงบอกไปว่าถ้าคุยแบบนี้ก็ไม่ต้องคุย นอกจากนี้ในช่วงบ่ายวันนี้นายประจักษ์ชัยก็ให้คนมาคุยอีก ทั้งนี้ในสัญญาไม่ได้มีการระบุค่าเสียหาย มีเพียงหากทำผิดละเมิดสัญญา ฝ่ายนั้นสามารถไปฟ้องทางแพ่งในวงเงิน 2 ล้านบาทได้ ซึ่งตนได้คุยกับน้องอามถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้ว และคงไม่มีเงินจ่ายให้ค่าย
นายอัจฉริยะ เปิดเผยต่อว่า ตามกฎหมายหากยื่นกับอธิบดีกรมสรรพากรไปแล้ว จะต้องมายื่นที่ปปง.ด้วย เพราะเป็นความผิดฐานฟอกเงินที่มีวงเงินภาษีเกิน 10 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 คนเฉพาะในปี 2560 มีรายได้มากกว่า 50 ล้านบาท จึงต้องมายื่นหนังสือถึงปปง.ให้ตรวจสอบตามประมวลกฎหมายรัษฎากรมาตรา 37 ตรี และมาตรา 37 ทวิ ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สำหรับหลักฐานที่นำมาด้วยวันนี้คือ รายได้ที่ได้จากการแสดงและเอกสารที่ยื่นกับกรมสรรพกรเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา กรณีที่พบว่าบริษัท ไหทองคำ เรคคอร์ด ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลตั้งแต่แรก แต่เพิ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในวันที่ 30 ม.ค.61 โดยมีนางโยษิตา เป็นเจ้าของบริษัท ถือหุ้นใหญ่ประมาณ 99 % ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินคดีอีก ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานคดียักยอกและฉ้อโกงรายได้น้องอาม
นายอัจฉริยะ เปิดเผยด้วยว่า ตามกฎหมายภาษีอากรของกรมสรรพากร ซึ่งแก้ไขใหม่ได้กำหนดให้ความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษี ฉ้อโกงภาษี ขอคืนภาษีเป็นเท็จ เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน จึงมายื่นหนังสือต่อปปง.ให้ตรวจสอบความผิดฐานฟอกเงินกับนายประจักษ์ชัยและพวก เพราะมีรายได้รวมกันมากกว่า 100 ล้านบาท โดยระหว่างปี 59-60 บริษัท ไหทองคำ เรคคอร์ด จำกัด ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่เพิ่งมาจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 30 ม.ค.61 มีชื่อภรรยาของนายประจักษ์ชัยเป็นเจ้าของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้พบว่าบุคคลทั้ง 3 เนื่องจากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีและไม่เคยเสียภาษี ซึ่งกฎหมายสรรพากรระบุว่า บุคคลที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่สำคัญเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรให้การช่วยเหลืออยู่ จึงร้องต่ออธิบดีกรมสรรพากรให้ตรวจสอบไปแล้ว นอกจากนี้นายประจักษ์ชัยไม่มีทรัพย์สินใด ทั้งบ้าน รถยนต์ ที่ดิน บัญชีธนาคาร แต่มีรายได้มากกว่า 50 ล้านบาท ส่วนภรรยามีที่ดิน 1 แปลง มีรถยนต์ที่ติดไฟแนนซ์อยู่ และหุ้นบริษัทไหทองคำฯ 9,998 หุ้น
น้องอามไม่เจรจากับทนายความ คนเดียวที่จะเจรจาด้วยคือ นายประจักษ์ชัย เพื่อจะได้ยุติ ซึ่งน้องอามแค่ต้องการยกเลิกสัญญาและเป็นอิสระ ไม่เคยเรียกร้องเงิน ส่วนผมมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับคนที่ทำผิดกฎหมาย ตอนนี้ยังคงยืนยันว่า ฝ่ายเราพร้อมเข้าสู่กระบวนการเจรจา แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พร้อม ก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยในสัญญาที่เราเสนอไปมี 6 ข้อ ข้อแรกคือ ถ้าตกลงกันได้จะให้ฝ่ายนายประจักษ์ชัยถือลิขสิทธิ์เพลง 9 ปี หลังจากนั้นให้เป็นลิขสิทธิ์ของน้องอาม รวมถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแสวงหาผลประโยชน์จากน้องอามแล้วไม่ว่ากรณีใดๆนายอัจฉริยะกล่าว
แหล่งที่มา: http://toiyeukpop.net/2018/10/31/ความซวยมาเยือน-ประจักษ์/