แต่งเล่นๆ อ่านหนุกๆ ครับ "รามสูร กับ เมขลา"
ด้วยฝนตกเกือบทุกวัน ทำให้นึกสนุก แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา ครับ ....... ไม่มีสาระประโยชน์แต่อย่างไร
แต่งตามอารมณ์คน......ว่าง............น่ะครับ :D
รามสูรผู้งดงามดั่งเทพบุตรที่สุดในสรวงสวรรค์(ไม่รู้ใครบอกเขาเหมือนกัน) เขาเที่ยวเสาะหาความสำราญ
พบปะนางฟ้ามากหน้าหลายตาา แต่ไหนเล่าจึงไม่ต้องตา ต้องใจ ของรามสูรผู้สง่างามนั้นเลย
ในวันหนึ่งเขามาพบสาวร่างน้อยนางหนึ่ง นางกำลังเล่นลูกแก้วกลมๆ ล่องลอยไปกับก้อนเมฆ หลบซ้าย โยกย้ายเล่นลม
เขาเฝ้ามองความอ่อนช้อนที่นางร่ายรำเล่นลูกแก้วนั้นอย่างเพลิดเพลิน
........อ๊ะ...แย่แล้ว.....!!!....
เสียงอุทานของนางดังขึ้น เหมือนรู้ตัว ว่ามีคนเฝ้ามองดู แล้วนางก็ชูลูกแก้วนั้น แล้วสับยอก รามสูรว่า
"ว่าอย่างไรผู้ตัวดำที่สุดในปฐพี มีการอันใดกับเรารึ แม้เจ้าจะหลบหลังก้อนเมฆ แต่ก็ไม่สามารซ่อนเร้นกายของเจ้าได้หรอก เพราะกายของเจ้านั้นช่างดำทะมึนซะขนาดนั้น"
รามสูรตกใจในคำทักทายของนาง เขาไม่ไ้ด้ตกใจที่นางรู้ตัว แต่เขาตกใจ
ว่าเหตุใดนางจึงพูดว่าเขาดำทะมึน นางพูดจริง หรือแค่สัพยอก หยอกเหย้า
"เจ้าว่าเราดำที่สุดในปฐพีหรือ ทั้งๆ ที่พึ่งรู้จักกัน ใยทักทายคำพูดไม่น่าฟังเลย"
"เรากล่าวสิ่งใดผิดเพี้ยนหรือ ท่านต่างหาก ที่ไร้มารยาทมาจ้องมองลูกแก้วของเราก่อน ท่านต้องการจะขโมยมันเมื่อข้าเผลอใช่หรือไม่" นางตอบกลับมาด้วยแววตาเอาจริง
รามสูรพึ่งจะพินิจลูกแก้วในมือของนาง เมื่อนางพูดถึง ทั้งที่ก่อนนี้เขาเพียงมองการร่ายรำ เ่่ล่นลมที่อ่อนช้อนของนาง กับทั้งต้องการจะรู้ว่า ใยนางจึงต้องหวงลูกแก้ว ลูกเล็กๆ นั้น
รามสูรจึงระงับความโทสะไว้ในใจ เปิดบทสนทนาเยี่ยงสุภาพชน
"เจ้าผู้ร่ายรำ ปราดเปรียว ชื่อเสียงเรียงนามของท่านมีว่าอย่างไรหรือ ข้านามว่า รามสูร ผู้งดงาม"
เมขลาอมยิ้มในคำแนะนำตัว "เรานามว่า เมขลา ผู้ว่องไว ปราดเปรียว ฉลาดเฉลียว ไม่มีใครเกินในปฐพีเจ้าค่ะท่านผู้งดงาม"
รามสูร : ท่านว่าเราจะสามารถเป็นมิตรกันได้หรือไม่ท่านผู้ปราดเปรียวฯ
เมขลา : แม้นท่านผู้งดงามอยากเป็นมิตร ท่านโปรดเฉลยความใน ใยจึงเรียก
ตัวเองว่าผู้งดงาม ทั้งๆ ที่ข้ามองท่าน ข้ายังมองไม่เห็นความ
งดงามของท่านแต่อย่างใด นอกจากความดำทะมึนที่ท่านมี
รามสูรเจอคำว่าดำทะมึนเข้าไปกี่ดอกแล้วก็ไม่รู้ ไม่เคยมีใครกล้าที่จะกล่าวหาเขาเยี่ยงนางผู้นี้ เขารู้สึกเจ็บแปล๊บ เหมือนถูกแย๊บหมัดตรงเข้าที่ใบหน้าอันงดงาม(ที่ไม่มีใครบอกเขา) เขาไม่อาจทนคำกล่าวหาเช่นนี้ได้อีก
รามสูร : นางผู้ขลาดเขลา เบาปัญญา เจ้าช่างโง่นัก มีหญิงงามมากมาย
ที่ลุ่มหลงในข้า แต่ข้าไม่เคยจะเหลียวตามองผู้ใด
เมขลา : ท่านผู้งดงาม แม้รูปท่านภายนอกดำทะมึน(ว่าดำอีกล่ะ) วาจา
ของท่านยิ่งกว่ารูปกายของท่านนัก ท่านรู้ตัวไหม
"หากแม้นท่านอยากรู้รูปกายของท่าน จงแย่งลูกแก้วจากมือข้านี้ไปส่องดู
แต่หากแม้นท่านอยากรู้รูปใจของท่าน ท่านจงจับตัวข้านี้ให้ได้เถิดรามสูรเอ๋ย"
ว่าแล้วรามสูรไม่อาจทนฟังคำยั่วยุของเมขลาต่อไปได้ เขาไม่รอช้าที่จะเขวี้ยงขวานที่อยู่ในมือ ใส่นาง ด้วยโทสะ
ทั้งๆ ที่ในใจเขาไม่ได้หมายมั่นจะเอาชีวิตนางแต่อย่างใด แต่เพียงต้องการจะสั่งสอนนาง ไม่ให้ดูถูกบุรุษเพศ ผู้มีกำลังวังชามากกว่า
ผิดคาด เมขลายิ้มเยาะ สนุกกับสิ่งที่รามสูรเป็น นางหัวเราะร่วนกับการยั่วโมโหรามสูรได้ นางร่ายรำลูกแก้วอย่างสบายใจ นางร่ายรำได้สวยงามกว่าตอนที่ไม่มีรามสูรทะเลาะเสียอีก
............................
อะไรทำให้เป็นอย่างนั้น ? พระพิรุณรุ งง
---------------------------
การไม่เข้าใจการสื่อสารของกันและกัน ตีเจตนาของอีกฝ่ายว่าจะปรองร้ายตน
ทั้งๆ ที่รามสูรนั้นในครั้งแรกที่พบ เขาชื่นชมเมขลา ถึงการร่ายรำอันอ่อนช้อน
แต่ด้วยความที่กลัวฝ่ายหญิงจะเขินอาย ว่ามีบุรุษเพศแอบมอง จึงได้แต่แอบมองนาง
ส่วนเมขลาเอง ก็กลัวรูปลักษณ์ภายนอกของรามสูร หวงสิ่งของที่อยู่ในมือ
จนลืมไปว่ามีคนอยากเป็นมิตรกับตน
การตัดสินบุคคลอื่นเพียงเพราะรูปลักษณ์ เพียงเพราะอารมณ์ เพียงเพราะการสนทนาครั้งแรก จึงเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะเราอาจได้ทั้งมิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน
.........
พระพิรุณผู้ผ่านทางมาพบเจอ รามสูร กับ เมขลา ผู้ยั่วโทสะ รามสูร
รามสูรอยู่ในอารมณ์โกรธ หน้าดำ เคร่งเครียด ด้วยความจะเอาชนะ และจับนางให้ได้ ด้วยการใช้กำลังไล่ล่า
ส่วนเมขลา นั้น นางก็สนุกสนาน ด้วยเริงร่า ในโทสะของรามสูรนั้น เพราะไม่มีผู้ใดที่จะคอยมาไล่ตามนางเยี่ยงรามสูรทำ นางรู้สึกสนุกเหมือนมีคนมาวิ่งเล่นไล่จับกับนาง
พระพิรุณเห็นอาการของทั้งสองแล้ว อากัปกิริยาช่างต่างกันลิบลับ ใยเมขลาจึงไม่อยู่ในอารมณ์ของผู้ที่ถูกไล่ล่า
แล้วใยรามสูรผู้มีพละกำลังมหาศาล จึงอยู่ในอารมณ์โกรธ และจับตัวนางไม่ได้เสียที
ว่าแล้ว เพื่อคลายความสงสัย พระพิรุณก็ใช้ความสามารถของตนนั้น เพื่อให้ทั้งสองหันหน้ามาพูดคุยกัน เพราะขณะนี้ ทั้งนางฟ้า นางสวรรค์ เหล่าเทวดา ที่อยู่บริวเวณใกล้เคียง ต่างทั้งยิ้มเยาะ และขบขันกับอากัปกิริยา ของทั้งสอง โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว
.....จึงบันดาลให้ฝนตกลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย.......
******************************
"อ้าววววววววเฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยย นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ฝนตก
แล้วบรรยากาศมืดครึ้มอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ข้ายังทำหน้าที่อยู่"
อ๊ากกกกก เสียงใครฟร่ะ ทำไมมีพลังขนาดนี้ พระวิรุณตกใจ แหงนหน้ามองขึ้นบนหัวตัวเอง แทบจะช็อกตาย
แล้วรีบแจ้งแก่เจ้าของเสียงนั้นว่า
"รามสูร กับ เมขลา สองคนนั้นทะเลาะกัน ทำเอาเหล่านางฟ้า นางสวรรค์ เทวดาพากันตกใจ ข้าพเจ้า จึงต้องทำหน้าที่แบบกระทันหัน"
(อ๊า....อีตาพระวิรุณ พูดไม่จริง นางฟ้าองค์หนึ่งพูดในใจ เพราะนางเห็น
ทุกเหตุการณ์ตั้งแต่คราวที่รามสูรแอบมอง เมขลา จนมาถึงตอนนี้)
เจ้าของเสียงพยักหน้า รับคำ
(อ๊า...อีกล่ะ ทำไมไม่สอบถามพยานแวดล้อมคนอื่นๆ เลยล่ะเนียะ นางฟ้าคิดในใจอีกล่ะ)
แล้วก็ปล่อยให้พระวิรุณแสดงฤทธิ์เดช ฝนตกห่าใหญ่ เพื่อห้ามทับรามสูรกับเมขลา แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ รามสูรคิดว่าฝนที่ตกลงมานั้นเป็นฤทธิ์เดช
ของนางเมขลาที่ต้องการให้เขาหยุดไล่ล่า รามสูรยิ่งโกรธหนักเข้าไปใหญ๋ ทั้งพลังกำลัง ทั้งขวาน มีเท่าไหร่ กระหน่ำใส่นางเมขลาไม่ยั้ง ลืมนึกไปว่าผู้ที่ตนกำลังไล่ล่าอยู่นั้น เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ
เฉกเช่นเมขลาเช่นเดียวกัน นางคิดว่ารามสูรคงจะแกล้งให้ฝนตกลงมา เพื่อให้ลูกแก้วนี้ไหลรื่นออกจากมือนางได้เป็นแน่แท้ - -"
แต่ละคน ต่างคิดกันไปต่างๆ นาๆ ทั้งสองสู้ไล่ล่ากันไม่มีทีทาว่าจะเหนื่อย พระวิรุณเองต่างหากที่เริ่มจะหมดแรง นางฟ้าผู้เห็นเหตุการณ์จึงกล่าวแก่พระวิรุณว่า
"ท่านวิรุณ ท่านอยากห้ามทั้งสอง ทำไมท่านจึงไม่ห้ามด้วยวาจา ทำไมถึงใช้อิทธิฤทธิ์ที่มีห้าม เขาสองคนจะรู้หรือเจ้าค่ะ ว่ามีผู้เห็นและต้องการห้ามการทะเลาะ"
พระวิรุณ : "ทำขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรล่ะ ก็โง่ทั้งสองคนน่ะสิ"
นางฟ้า : "ถ้าเขาโง่ เราก็โง่ ที่ไปคิดเอาเองว่าเขารู้ค่ะ"
พระวิรุณ : "นี่แม่นางฟ้า เจ้าเป็นเพียงนางฟ้าตัวน้อยๆ มีสิทธิอะไรมาว่า
ข้าโง่"
นางฟ้า : "หากท่านจะลงโทษข้าพเจ้าผู้น้อย ก็ลงโทษเถิด หาก
ลงโทษแล้วความสงบสุขจะเกิดขึ้นแก่สรวงสวรรค์แห่งนี้
เพราะตอนนี้ฝนที่ท่านบรรดาลขึ้นกำลังจะท่วมท้นสวรรค์แห่ง
นี้ แล้วลามไปยังโลกมนุษย์ และกับการที่ท่านทูลเท็จก็องค์
เทพไป นั้น ข้าพเจ้าได้ยินทั้งสิ้น"
นางฟ้า : "เขาสองคนทะเลาะกันหรือเปล่า หรือแค่สัพยอก หรือจะอย่างไร ท่านใช้สิทธิอะไรเล่าไปออกอิทธิฤทธิ์เหนือสิทธิและหน้าที่ ที่ท่านมี"
พระวิรุณ : เจ้าๆ ๆ ๆ แล้วเจ้าใช้สิทธิและหน้าที่อะไรมาต่อว่าข้า นางฟ้า
ตัวกระจ้อยร่อย
นางฟ้า : เมื่อท่านล่วงละเมิดผู้อื่นได้ แถมยังกล่าววาจาอันเป็นเท็จ
หากข้าพเจ้าผู้เห็นเหตุการณ์นิ่งเฉยเสีย ความจริงย่อมไม่ปรากฏ ข้าพเจ้าจะไม่ทูลแก่องค์เทพใดๆ ว่าท่านกล่าวเท็จหรือแอบอ้าง
แต่ท่านเองที่ควรคิดและไตร่ตรองดูว่าควรจะพูดเช่นไร กับองค์เทพ เพราะตอนนี้ไม่มีผู้ใดจะสามารหยุดความวิบัติครั้งนี้ได้แล้ว นอกจากองค์เทพผู้เป็นใหญ่เท่านั้น ที่จะตัดสิน ว่าใครกัน ที่ล่วงละเมิด ใคร
ส่วนสองคนนั้นระหว่างเมขลาและรามสูร ท่านเห็นแล้วไม่ใช่หรือ ว่าสายฝนหรือสายฟ้า ไม่ได้แยกเขาสองคนให้หยุดได้เลย
พระวิรุณ : (.............)
นางฟ้า : หากท่านจะรับโทษก็คงไม่หนักหนาหรอก แต่หากท่านไม่พูดความจริง สิ่งต่างๆ ก็จะไม่ยุติและไม่สงบอย่างแ่่น่นอน อันนี้ต่างหากไม่ใช่หรือที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
------------------------------
พระวิรุณ นิ่งเงียบ รู้สึกอับอายในใจ ที่มีนางฟ้าตัวน้อยๆ มาสั่งสอนตน แต่เหนือความอับอายนั้น ก็รู้สึกถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากฝีมือของตน
เพียงเพราะคิดว่าอิทธิฤทธิ์ของตนที่มีนั้น จะห้ามปรามเมขลาและรามสูรได้ เขาจึงค่อยๆ คลายมนต์ บรรเทาสายฝนและเสียงสายฟ้าแปลบปลาบลง
เมื่อสายฝนซาลง เมขลา หัวเราะเยาะ รามสูร
เมขลา : ฤทธิ์เดชเจ้ามีแค่นี้หรือรามสูร น่าขันสิ้นดี
รามสูรเอง เห็นเมขลายั่วโทสะอีก ก็ให้บรรดาลเดือดขึ้นมาเป็นร้อยเท่า กับสายฝนที่ซาลง รามสูรกับคิดว่าเมขลาจะสิ้นฤทธิ์ นี่นางคิดว่าข้ารามสูรผู้มีพลังกำลังจะแพ้นางตัวนิดเดียวอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด
ว่าแล้วรามสูรขยายร่างกายใหญ่โตมโหฬารขึ้น แล้วบันดาลให้ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งที่เป็นเวลากลางวัน และอีกมากมาย (ผู้เขียนนึกไม่ออก)
พระวิรุณเห็นดังนั้น จึงรู้สึกแล้วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ตัวเราเองก็มีส่วนผิดที่ไปสำเร็จโทษผู้อื่น เพียงเพราะความหวังดี (แต่มันอาจไม่ใช่เรื่องดีในความเป็นจริง) หากเราเพียงแค่เดินไปห้ามปรามเขาสองคน เหตุการณ์คงไม่ลามปามขนาดนี้ ว่าแล้วพระวิรุณก็วานให้นางฟ้าผู้มีปีก บินไปบอกองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสรวงสวรรค์
นางฟ้าปฏิเสธคำร้องขอของพระวิรุณ พระวิรุณงงงวย พระเรื่องเร่งด่วนและภัยวิบัติขนาดนี้ยังจะมาเล่นองค์ทรงเครื่องกันอยู่ทำไม
นางฟ้ากล่าวแก่พระวิรุณว่า : ดูเถิดพระวิรุณ ก็ไม่ใช่เพราะการบอกกล่าวหรือการพูดของบุคคลอื่น / หรือของบุคคลผู้ไม่เกี่ยวข้องดอกหรือ เรื่องจึงเลยเถิด บานปลายขนาดนี้ ตัวท่านเองก็สามารถที่จะเข้าพบองค์เทพได้
ท่านจะเกรงกลัวโทษทัณฑ์มากกว่าสิ่งที่เป็นมหันภัยไม่ได้หรอก
พระวิรุณอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่คิดว่านางฟ้าตัวน้อยนั้นจะรู้ใจเขาขนาดนี้ จึงยอมรับโดยดุษฎีทั้งมวลแก่นางฟ้า ว่าเขากลัวการลงโทษ เพราะการกล่าวเท็จนั้น เป็นโทษร้ายแรงของสรวงสวรรค์
แล้วพระวิรุณก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้องค์เทพแห่งสรวงสวรรค์ฟังอย่างไม่เสริมเติมแต่งแต่อย่างใด พระวิรุณเนรมิตภาพจำลองย้อนหลัง (เหมือนเทปบันทึก)