ว่าด้วยเรื่องหินดำกับตัวอาคารกะบะฮ์ทรงสี่เหลี่ยม นครเมกกะ ที่หลายคนยังสับสนมาก
อาคารกะบะฮ์ หรือแปลว่าลูกบาศ์ก คืออาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกก่อขึ้น ในปัจจุบันถูกคลุมด้วยผ้ากิสวะฮ์ สีดำ จึงเป็นเหตุให้หลายคนเข้าใจผิดว่านี้คือหินดำ ตัวอาคารจริงๆของกะบะฮ์เป็นสีอิฐอ่อน ในอดีตเคยมีการคลุมผ้าอาคารกะบะฮ์นี้หลายสี มีทั้งสีแดง สีเขียว และสีขาว ตามแต่กษัตริย์หรือผุ้ปกครองในยุคนั้น
ภายในกะบะฮ์ก็ไม่มีอะไรเป็นห้องโล่ง มีเพียงเสาไม้ค้ำยันหลังคา3ต้น ตู้เก็บสมบัติของเก่าแก่ ตะเกียงโบราณที่ถูกประดับตั้งแต่ยุคอดีต และผ้าลวดลายอัลกุรอานประดับภายใน
อาคารกะบะฮ์ถือเป็นชุมทิศ(กิบลัต)ในการผินหน้าของมุสลิมทั่วโลกของทุกเวลาในการละหมาดและขอพร รวมทั้งการประกอบพิธีแสวงบุญอุมเราะฮ์และฮัจย์ อาคารนี้ก็ถูกสร้างขึ้น แต่ถูกทำลายไปก็หลายครั้งด้วยกัน อีกทั้งอาคารกะบะฮ์ก็มีเสื่อมโทรมและชำรุดไปตามกาลเวลา จึงมีการซ่อมบำรุงรักษาล่าสุดในช่วงสมัยศาสนทูตมุฮัมมัด และหลังจากนั้นก็ยุคผู้ปกครองในช่วงต้น เพื่อเป็นสถานที่ใช้ประกอบศาสนกิจกราบไหว้พระเจ้าองค์เดียว มุสลิมให้เอกภาพแด่พระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีภาคีใดๆ โดยสถานที่นี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของการเคารพสักการะต่อพระเจ้าที่เดียวบนโลก ไม่มีจำลอง หรือสร้างที่อื่
น เพราะเป็นสถานที่เดียวที่ถูกอนุมัติในการประกอบศาสนกิจต่างๆ ชาวมุสลิมที่มีความสามารถจึงต้องมาแสวงบุญใหญ่ หรือทำฮัจย์ หากมีความสามารถ โดยเป็นการปฎิบัติในการสั่งใช้ของพระเจ้า ที่มีอยู่ในอัลกุรอาน รวมทั้งแบบอย่างของศาสนทูต ไม่ได้ทึกทักสร้าง กำหนดมาเอง หรืออุตริ คิดเอง หรือMakeในภายหลังตามอารมณ์ความรู้สึกโดยไม่มีที่มา ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้มีอีกเยอะมาก ทุกปีเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ จะมีการเปลี่ยนผ้าคลุมออก
ซึ่งการเปลี่ยนคลุมผ้าคลุมต้อง มีคนขึ้นไปเหยียบบนอาคารดังกล่าว หากถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่เคารพบูชา คงไม่มีใครเอาเท้าขึ้นไปเหยียบสิ่งนั้นแน่นอน สำหรับคนข้างล่างก็ทำศาสนกิจกันปกติเป็นการแสดงว่าเราไม่ได้กราบไหว้อาคารกะบะฮ์นี้ แต่กราบไหว้พระเจ้าของอาคารที่ถูกสร้าง คืออัลลอฮ์ ต่อไป หากอาคารนี้พัง หรือถูกทำลายไป มุสลิมก็ยังผินหน้ามายังทิศที่ตั้งของมัสยิดฮะรอมกันตามเดิม เพราะเป็นคำสั่งใช้ เนื่องจากกะบะฮ์ถูกกำหนดให้เป็นLandmark ในการเป็นจุดศูนย์รวมของการประกอบศาสนกิจ
ที่นี่ยังไม่เคยเกิดเหตุเหยียบกันตาย มีแต่อุบัติเหตุเครนล้มเมื่อ2ปีก่อน ส่วนที่เหยียบกันตายคือที่ตำบลมีนาที่เป็นข่าว อยู่ถัดห่างออกไปจากเมืองเมกกะ ประมาณ10กิโล ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ของการประกอบพิธีฮัจย์
ภาพอัลกะบะฮ์เมื่อตอนเปลี่ยนผ้าคลุม ประจำปี
ผ้าคลุมกะบะฮ์จะถูกเปลี่ยน1ครั้ง ช่วงใกล้ถึงพิธีฮัจย์ประมาณ1-2วัน ของทุกปี โดยผ้าผืนเก่าจะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆมอบให้กับบุคคลสำคัญของประเทศ รัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ ตัวแทนประเทศ ทั้งในซาอุและทั่วโลกเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพื่อเป็นของกำนัลจากรัฐบาลซาอุ เพราะไม่มีขายทั่วไป
หินดำหรืออัลฮาญัร อัลอัสวัด เป็นหินที่ปัจจุบันได้แตกออกเป็น8ก้อน มีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่50เซน ได้ถูกนำไปตั้งติดไว้กับมุมนึงของอาคารกะบะฮ์ เพื่อเป็นจุดกำหนดและสิ้นสุดในการเดินเวียนรอบอาคารนี้เท่านั้น ตัวหินดำได้ถูกหุ้มด้วยกรอบเงิน สำหรับกรอบเงินรัดหินดำที่แตกออกนั้น เพื่อป้องกันการถูกขโมยหรือความเสียหายเพื่อให้หินดำคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เสียหายต่อการสัมผัส ที่เห็นในคลิป เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาดหินดำ มีการใช้น้ำหอมไม้กฤษณา ทาบริเวณนั้น ที่เป็นสีดำวงรีตัดกับกรอบไม่ใช่ตัวหินดำนะครับ แต่เป็นขี้ผึ้งและชะมดเชียงตัวเคลือบอีกที ไม่ได้เป็นหินก้อนยักษ์อะไรแบบนั้น
มุมหินดำ ในภาพเห็นตำรวจยืนรักษาความปลอดภัย ในบริเวณนั้น เพราะป้องกันการถูกขโมย ในประวัติศาสตร์หินดำเคยถูกขโมยแล้ว หายไปจากกะบะฮ์ 20กว่าปี ไปอยู่เมืองฮาซา ทิศตะวันออกของซาอุ ใกล้บาห์เรน ซึ่งอดีตเป็นที่อยู่ของกลุ่มชีอะฮ์ กอรอบีเฎาะฮ์(ปัจจุบันสายนี้ได้เลือนหายไปแล้ว) ระหว่างโดนปล้นไปหินตกแล้วแตกออกเป็น8ก้อน จึงมีมาตราการรักษาความปลอดภัย จึงเห็นได้ว่าหินดำไม่ได้มีความวิเศษอะไร แต่มุสลิมที่ไปจารึกแสวงบุญ ณ นครเมกกะ คือไปทำศาสนกิจ บำเพ็ญตน ตามบทบัญญัติของสุดท้าย ที่เป็นแกนของการปฎิบัติ และให้เอกภาพต่อพระเจ้า แสวงหาความโปรดปราณเท่านั้น ไม่ได้ไปเพราะมีหินดำ หรือไปขอโชคลาภ ขอสิริมงคล หรือมีผลอย่างอื่น
และที่ต้องมีตำรวจอารักขาเฝ