อย่าถูกหลอกให้กลัวภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกำลัง "ฮอต" หนัก ประโคมข่าวกันจนชาวบ้านผวาว่าจะถูกรีดขนห่านยกใหญ่ ดร.โสภณ จึงขอนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อไขความกระจ่างแก่สาธารณชน
ไม่ควรมีข้อยกเว้นใด ๆ
ในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ เขาคิดกันตามราคาประเมินทางราชการ แต่ราคาประเมินทางราชการอาจจะต่ำกว่าราคาซื้อขายจริงมากมายนัก เช่น ราคาประเมินทางราชการที่สีลม อาจเป็นเงินประมาณ 850,000 บาท ในขณะที่ราคาซื้อขายตกเป็นเงินถึง 1.4 ล้านบาท หรือทำนองเดียวกัน ราคาประเมินที่สยาม ชิดลม เพลินจิต ตกตารางวาละประมาณ 850,000 บาทเช่นกัน แต่ราคาตลาดเป็นเงิน 1.7 บาท โดยมีราคาเรียกขายอยู่ที่ 2.1 ล้านบาทต่อตารางวาเข้าไปแล้ว
ยิ่งมีการยกเว้น แต่ละคน แต่ละท้องที่ก็ยิ่งอยากให้ราคาประเมินต่ำ ๆ ไม่สะท้อนราคาตลาด การจัดเก็บภาษีก็อาจไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจเกิดกรณีที่ต้นทุนในการจัดเก็บภาษีพอ ๆ กับจำนวนรายได้ที่ได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเสียอีก กลายเป็นภาระของกระบวนการจัดเก็บภาษีไปเสียอีก ซึ่งถือเป็นวิถีทางหนึ่งในการ "ทำหมัน" ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ที่ว่าไม่ควรมีข้อยกเว้นนั้นก็เพราะจะทำให้เกิดความลักลั่นในการตีความ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็จะเอาอีหรอบเดิม ๆ ก็คืออาจทำให้เกิดความไม่โปร่งใสในการตีมูลค่าที่ดินและอาคาร อาจต้องมีเบี้ยบ้ายรายทางตามดุลยพินิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้ชาวบ้านต้องเสียภาษี "นอกระบบ" เพิ่มขึ้นอีกภาษีหนึ่ง ที่ว่าไม่พึงมีข้อยกเว้นนั้น เพราะหากห้องชุดราคาถูกหน่วยหนึ่งมีราคาเพียง 300,000 บาท แต่ราคาประเมินเป็นเงิน 250,000 บาท หากต้องเสียภาษี 0.1% ก็เป็นเงินเพียง 250 บาทเท่านั้น หรือเท่ากับเดือนละ 21 บาทเท่านั้น จะไปเกี่ยงกันทำไม
ภาษีนี้เสียน้อยมาก
กรณีบ้าน 3 ล้านบาท เสียภาษี 1,000 บาทนั้น เท่ากับเสียภาษีแค่ 0.3% ยิ่งถ้าเราสมมติว่าบ้านหลังดังกล่าวมีราคาตลาด 5 ล้านบาท ก็เท่ากับเสียภาษีเพียง 0.2% เงินที่เสีย 1,000 บาทนั้น หากหารเป็นเดือนก็เป็นเงินเพียง 83 บาท ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะในหมู่บ้านเสียอีก ท่านทราบหรือไม่ว่าในแต่ละปีแม้แต่รถจักรยานยนต์เก่า ๆ คันละ 30,000 บาท ก็ยังต้องเสียภาษีคันละ 100 บาท หรือ 0.33% สูงกว่าอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเสียอีก
ในต่างประเทศ เขาจัดเก็บภาษีนี้ที่ 1-3% ของมูลค่า เช่น บ้านในสหรัฐอเมริกาหลังหนึ่งราคา 10 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษีปีละ 200,000 บาท (สมมติอัตรา 2%) ราคาประเมินของทางราชการกับราคาตลาดก็ใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก เราซื้อบ้านไว้แล้ว หากไม่ไปอยู่ก็ต้องเสียภาษี จะอ้างว่าตนไม่ได้ใช้งานไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการจัดเก็บค่าส่วนกลางในชุมชนนั่นเอง
ยิ่งกว่านั้นเมื่อมีภาษีนี้จะลดภาษีหรือค่าใช้จ่ายอื่น
1. ภาษีโรงเรือน และภาษีที่ดินในปัจจุบันที่จัดเก็บอย่างไม่เป็นธรรมก็จะถูกยกเลิก
2. ค่าส่วนกลางที่อาจต้องเพิ่มขึ้นทุกปีเพื่อสวัสดิภาพในชุมชนก็อาจลดลงหรือไม่ต้องเพิ่ม เพราะเราได้เสียภาษีไปใช้เพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว
3. เผลอ ๆ ภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจไม่ต้องจัดเก็บเพิ่ม เพราะส่วนกลางไม่ต้องมีภาระในการอุดหนุนส่วนท้องถิ่นถึง 90% ของงบประมาณเช่นในปัจจุบัน
อย่ากลัว ยิ่งจ่าย ยิ่งได้
ภาษีนี้เก็บมาเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นโดยตรง โดยอาจนำมาใช้พัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การศึกษาให้ทันความต้องการของท้องถิ่น และเมื่อท้องถิ่นได้รับการพัฒนา มีสวัสดิภาพที่ดีขึ้น มูลค่าทรัพย์สินของเราก็จะยิ่งเพิ่มพูน ถ้าเราเสียภาษีปีละ 0.5% แต่ราคาบ้านเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี ก็เท่ากับการยิ่งให้ ยิ่งได้ มีแต่ได้ไม่มีเสีย แต่ถ้าเป็นการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ภาษีนี้จะกระทบทุกฝ่าย
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะไม่กระทบต่อวงการพัฒนาที่ดิน ผู้ประกอบการก็กำไรปีละ 20% สุทธิอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ยิ่งกำไรสูงมาก ราคาค่าก่อสร้างอาคารก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ราคาที่ดินก็ขึ้นเฉพาะใจกลางเมืองหรือบริเวณที่มีรถไฟฟ้า การใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้จึงไม่ทำให้นักพัฒนาที่ดิน "ขนหน้าแข้งร่วง" แต่อย่างใด ผู้ซื้อบ้านก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อภาษีที่จัดเก็บน้อยแต่ได้เพิ่มมูลค่า
อย่ากลัวเอาไปโกงกิน
บางคนกลัวว่าการจัดเก็บภาษีนี้จะก่อให้เกิดการโกงกิน ข้อนี้ไม่ต้องกลัว เพราะไม่ได้ส่งเข้าส่วนกลาง ใช้ในท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนที่เสียภาษีมาพัฒนาท้องถิ่น จะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของภาษี และคอยจับตาดู ที่สำคัญก็คือภาษีในแต่ละท้องถิ่นส่วนมากจัดเก็บได้เพียง 10% ของงบประมาณ ทำให้ส่วนกลางควบคุมท้องถิ่น ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าเราจัดเก็บภาษีและใช้ในท้องถิ่น ไม่ต้องส่งเข้าส่วนกลาง ท้องถิ่นก็เจริญ
นี่เองภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงช่วยสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ ‘กินได้’ หรือเรียกว่าเป็นรูปธรรม ประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่ใคร ๆ ก็เห็นดีด้วย แต่การรดน้ำพรวนดินระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่การยกมือหรือการเลือกตั้งเท่านั้น ที่ผ่านมา ประชาชนถูกบิดเบือนให้แปลกแยกกับระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม มีส่วนได้ มีส่วนเสียกับระบอบนี้ และใช่ว่าทุกวันนี้ประชาชนไม่ได้เสียภาษี เพียงแต่ไม่ได้เสียภาษีทางตรงจากทรัพย์สินที่ครอบครอง จึงทำให้ขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของเท่าที่ควร และกลายเป็นว่าท้องถิ่นเป็นหนี้บุญคุณรัฐบาลส่วนกลางที่ส่งเงินมาให้เสียอีก
อย่าอ้างประชาชนเพื่อช่วยคนรวย
การลดภาษีหรือยกเว้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับประชาชนนั้น แท้จริงแล้วแทบไม่ได้อะไรกับประชาชนเลย เพราะโภคผลน้อยมาก แต่เกรงว่าผู้มีอำนาจจะทำเพื่อคนรวย ๆ มากกว่า การมีที่ดินเปล่าใจกลางเมือง ซึ่งมีอยู่มากมาย แล้วไม่ใช้ประโยชน์ ปล่อยทิ้งไว้เพียงรอยกให้ลูกหลาน ทั้งที่รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่าง ๆ ก็ผ่าน เป็นสิ่งที่สมควรละอายใจ เพราะแม้แต่คนมีห้องชุดแสนถูกยังต้องเสียค่าส่วนกลางทุกเดือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างเช่นกรณีการลดเพดานที่ดินเปล่าที่ไม่ใช้ประโยชน์จากเพดาน 4% เป็น 2% นั้น เป็นการช่วยคนรวยเจ้าที่ดินโดยตรง สมมติมีที่ดินแปลงหนึ่งขนาด 400 ตารางวาอยู่ใจกลางเมืองซึ่งมีราคาตารางวาละ 300,000 บาท หรือรวมเป็นเงิน 120 ล้านบาท แล้วไม่ใช้ประโยชน์ เจ้าของที่ดินต้องเสียภาษี 4.8 ล้านบาท (ตามอัตราเพดานเดิม 4%) ก็ได้อานิสงส์ลดลงเหลือ 2.4 ล้านบาท ตามอัตราใหม่ที่อ้างว่าเพื่อช่วยประชาชนไปด้วย
กรณีศึกษาที่ดินเปล่า
ผมขออนุญาตยกตัวอย่างที่เห็นอยู่ทั่วไปเช่นที่ดินว่างเปล่าแปลงหนึ่งอยู่ปากซอยนนทรี 5 ขนาดประมาณ 5.5 ไร่ หรือ 2,200 ตารางวา ประเมินตามราคาตลาดเป็นเงิน ณ ตารางวาละ 100,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 220 ล้านบาท ที่ดินว่างเปล่าเช่นนี้มีทั่วไปในใจกลางกรุงเทพมหานคร
เจ้าของที่ดินท่านเมตตาให้สำนักงานเขตยานนาวาเช่าใช้เป็นสนามกีฬาของเขต โดยคาดว่าให้เช่าในราคากึ่งให้ใช้เปล่า ข้อนี้ต้องยกความดีให้กับเจ้าของที่ดินที่มีใจกว้างและสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง แต่หากมีการประกาศใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามร่าง เจ้าของที่ดินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีที่ดินแปลงนี้ในฐานที่เป็นที่ดินว่างเปล่า ณ อัตรา 0.5% ต่อปี หรือเป็นเงิน 1.1 ล้านบาทต่อปี จะเห็นได้ว่าแทนที่เจ้าของที่ดินจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณตามค่านิยมความดีในสังคมปัจจุบัน กลับยังต้องเสียภาษีอีกนับล้านบาท การหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีอาจทำให้ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลอดเพื่อนำเงินมาชำระภาษีได้
การที่ประเทศไทยไม่มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อเอาใจผู้มากทรัพย์นั้น จึงเกิดปรากฏการณ์หนึ่งเมื่อ พ.ศ.2553 ที่พบต้นจามจุรี (ฉำฉาหรือก้ามปู) อายุนับร้อยปีใจกลางเมืองติดถนนสุขุมวิท ตรงข้ามห้างเอ็มโพเรียม ตอนที่จะพัฒนาเป็นศูนย์การค้า มีนักอนุรักษ์ธรรมชาติออกมาเรียกร้องให้คงต้นไม้เหล่านั้นไว้ แต่ในที่สุดก็ถูกโค่นไป ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะเจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษี จึงเก็บที่ดินไว้ให้ลูกหลานเมื่อถึงเวลาอันควรนั่นเอง
มาร่วมกันส่งเสริมภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อพัฒนาเมืองที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อพัฒนาชาติไทยอันเป็นที่รักของเราเถิด
ที่มา : https://goo.gl/SF6a4x
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"


