ย้ายเมืองหลวง ความคิดที่เป็นไปไม่ได้
ดร.โสภณประกาศ อย่ากลัวเรื่องโลกร้อน ในแง่หนึ่งเป็นแค่นิยายของพวกที่ต้องการหากินกับความกลัว แค่เป็นอวิชชา ยิ่งคิดย้ายเมืองหลวง ยิ่งเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ อย่าไปเชื่อ บางทีพวกคนเสนออาจต้องการจะอยู่ดูแลประเทศต่อนาน ๆ โดยไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งกระมัง
ตามที่มีข่าวของภาปฏิรูปแห่งชาติ "จ่อตั้งคกก.ยุทธศาสตร์ชาติ "กู้กรุงเทพฯ จม" ผุดแนวคิดเขื่อนกั้นน้ำทะเล งบฯ5แสนล้านบ." โดยมีรายละเอียดว่า "สปช. รับทราบ รายงานรับมือวิกฤต กรุงเทพฯ จม จัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อรับมือ ชี้เหตุ “การใช้น้ำบาดาล-ตึกสูงมาก” ทำแผ่นดินทรุด ผลระยะยาวอาจต้องย้ายเมืองหลวง เตือนไม่ป้องกัน 15 ปีจมแน่" (http://goo.gl/Rx7qpM) ข้อนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส มั่นใจว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับเรื่องโลกร้อนและการคิดย้ายเมืองหลวง
อย่าเพิ่งเชื่อเรื่องโลกร้อน
ต่อเรื่องโลกร้อน ดร.โสภณ ได้ให้ทัศนะไว้ในบทความเรื่อง "เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน" ซึ่งลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ : จุดประกาย วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 หน้า 4 (http://goo.gl/WJhcQK) โดยชี้ให้เห็นถึงการใช้ข้อมูลเท็จลวงให้คนเชื่อ และตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังอาจถือเป็นการเบี่ยงประเด็นสาระสำคัญของปัญหาในโลกนี้ อันได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บที่เผชิญอยู่ทุกวัน การกดขี่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยโอกาส สงครามและการก่อการร้าย อำนาจเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพประชาธิปไตย ตลอดจนการปล้นสดมภ์ของประเทศมหาอำนาจต่อประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น บางทีถ้าเราเอาเงินรณรงค์เรื่องโลกร้อนไปช่วยคนทุกข์ยากทางอื่น ยังอาจได้ประโยชน์ต่อสังคมมากกว่านี้
บางที “นักบุญ” ที่พูดกับท่านถึงภาวะโลกร้อนนั้น แท้จริงอาจเป็น “ซาตาน” ผู้ก่ออาชญากรรม ตักตวงประโยชน์ทางการเมือง ฉกฉวยหาประโยชน์เฉพาะตน คนที่กล้า “แหกตา” พวกเราถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นบุคคลอันตราย เราควรรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน แต่เราก็ควรส่งเสริมการระดมความคิด ถกเถียงค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และมีสติ และต่อต้านความงมงายอย่างมืดบอดในทุกรูปแบบ ประเทศชาติจึงจะเจริญด้วยสังคมอุดมปัญญาที่แท้จริง
เมื่อ 30 ปีก่อน ก็มีกระแสข่าวว่าแผ่นดินที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงทรุดหนักปีละ 15 ซม. ถ้าเป็นจริงป่านนี้คงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 4.5 เมตรไปแล้ว ถ้าโลกร้อนจนน้ำทะเลจะท่วมกรุงเทพมหานครจริง ป่านนี้สิงคโปร์ มาเลเซีย โตเกียว ฮ่องกง และนครหลวงทั้งหลายคงคิดสร้างเขื่อน ใช้เงิน 500,000 ล้านดังที่สภาปฏิรูปฯ เสนอแล้ว การเสนอให้ทำโน่นทำนี่ ปฏิรูปแบบครอบจักรวาลทำ 100 ชาติก็ไม่จบ ส่วนหนึ่งอาจเป็นแผนการ "ตีตั๋วอยู่ต่อ" ไปนานๆ ก็เป็นได้
ย้ายเมืองหลวงคิดกันมานานแล้ว
อดีตนายกฯ แซบๆ แสบๆ (แต่ท่านจะเป็นคนดีหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน) เคยคิดย้ายกรุงมาแล้ว เช่น จอมพล ป. ก็คิดจะย้ายไปอยู่เพชรบูรณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พล.อ.ชวลิต ก็คิดย้ายไปสนามชัยเขต ฉะเชิงเทรา พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ก็คิดย้ายไปนครนายก แต่จนแล้วจนรอดก็ย้ายไม่ได้สักที ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนมาก คิดอยากจะย้ายกรุงอยู่เหมือนกัน เพราะเห็นปัญหาหมักหมมเป็นอันมากเลยคิดว่าจะไปเริ่มที่ใหม่ๆ เฮงๆ ทำนองนั้น
แต่ผมมั่นใจว่าการย้ายกรุงไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมจะได้ให้เหตุผลต่อไป อย่างไรก็ตามใช่ว่าการย้ายกรุงจะย้ายไม่ได้เสียเลย ประเทศไทยของเราเคยย้ายจากเทือกเขาอัลไตมาแล้ว (อันนี้แซวท่านนายกฯ เล่นครับ) เราเคยย้ายจากกรุงศรีอยุธยา มากรุงธนบุรี และล่าสุดมาที่กรุงเทพมหานครเมื่อ 233 ปีก่อน หลายท่านจึงเชื่อว่าเราจะย้ายกรุงได้อีก
อันนี้ก็เป็นไปได้ครับด้วยเหตุผลทางการเมือง เช่น ครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถูกเผาไม่เหลือหลอ ซ่อมแซมไม่ไหว ก็จึงย้ายออกเสีย หรือการปราบดาภิเษกของรัชกาลที่ 1 พระองค์ท่านก็เพียงย้ายมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น และการย้ายมา 3 กรุงนี้ ก็ย้ายเพียงในระยะทางใกล้ ๆ เท่านั้น ดังนั้นในอนาคต หากมีเหตุผลทางการเมือง ก็อาจมีการย้ายกรุงอีกก็ได้ แต่คงไม่ใช่ย้ายเพราะกรุงเทพมหานครมีสถานะ "เกินเยียวยา" แต่อย่างใด
การย้ายเมืองหลวงในต่างประเทศ
เช่นเดียวกับในต่างประเทศ การย้ายเมืองหลวงมักเป็นเหตุผลจากการเมือง เช่น การตั้งเมืองหลวงของเยอรมนีตะวันตกที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อกรุงบอนน์ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ภายหลังการรวมประเทศ ก็กลับมาใช้กรุงเบอร์ลินอีกครั้งหนึ่ง ในประเทศไทยก็เคยย้าย "ศูนย์อำนาจ" จากกรุงศรีอยุธยาไปลพบุรีอยู่ระยะหนึ่งในสมัยพระนารายณ์มหาราช แต่เมื่อผลัดแผ่นดิน ก็ยังใช้กรุงศรีอยุธยา แม้หลังเสียกรุงครั้งที่ 1 ก็ยังใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงเพราะไม่ได้ถูกเผาเช่นหลังการเสียกรุงทั้งที่ 2
กรุงหรือเมืองหลวงที่มีการย้ายได้สำเร็จนั้น ส่วนมากเป็นการย้ายเฉพาะส่วนราชการ เช่น กรุงเนปยีดอของเมียนมาร์ เมืองปุตราจายาของมาเลเซีย กรุงบราซิเลียของบราซิล กรุงวอชิงตันดีซีของสหรัฐอเมริกา กรุงแคนบราของออสเตรเลีย เป็นต้น แต่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจยังมักอยู่ที่เดิม เช่น กัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย นิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา ซิดนีย์ของออสเตรเลีย เป็นต้น
สำหรับเมืองหลวงใหม่เมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงในประเทศกำลังพัฒนา ก็คือเมืองเกซอนซิตี้ โดยถือเป็นเมืองหลวงใหม่ของฟิลิปปินส์อยู่พักหนึ่ง นัยว่ากรุงมะนิลา "เน่า" เกินเยียวยา มีชุมชนแออัดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งคือสลัมทอนโด จึงมีแนวคิดที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่น อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เกซอนซิตี้กลับถูกควบรวมกลายเป็นเพียงเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในเขตนครหลวงมะนิลานั่นเอง
ต่อไปเชื่อว่าเมืองใหม่เช่นปุตราจายา ก็คงหนีไม่พ้นเป็นเมืองที่อาจไม่ประสบความสำเร็จนัก ผมเคยพาคณะดูงานอสังหาริมทรัพย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไปเยี่ยมชมมาแล้ว เมืองนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสนามบินนานาชาติกับกรุงกัวลาลัวเปอร์ ห่างจากกรุงประมาณ 38 กิโลเมตร การจัดผังเมืองที่นี่จัดไว้หลวมมาก ต้องเดินทางกันด้วยรถยนต์สถานเดียว ตามแผนเดิมปุตราจายาจะมีรถไฟฟ้ามวลเบาระยะทาง 18 กิโลเมตร 23 สถานี แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะมีการกระจัดกระจายตัวของส่วนต่าง ๆ ของเมืองมากเกินไปนั่นเอง
บ้างเป็นโรคกลัวโลกร้อน
บางคนกลัวโรค "โลกร้อน" ขึ้นสมอง อย่าได้กลัวไป ดูอย่างสิงคโปร์ยังนิ่งสนิทในเรื่องนี้ อย่าให้ใครโดยเฉพาะพวกเอ็นจีโอเป่าหู ประเทศในยุโรปทั้งเนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก มีเมืองที่ตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เขาก็ยังอยู่ได้ แถมทำเกษตรกรรมได้ การที่น้ำเซาะชายฝั่งเล็กน้อยแถวทะเลบางขุนเทียนนั้น เกิดขึ้นเพราะการตัดไม้ทำลายป่าโกงกางในบริเวณนั้น ไม่ใช่เพราะน้ำทะเลเพิ่มขึ้นหรือกรุงเทพมหานครจมลงแต่อย่างใด
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือวัดเจดีย์หอยที่ตั้งอยู่ชายแดนปทุมธานีกับอยุธยานั้น มีหอยนางรม มีทรายมากมายเป็นประจักษ์หลักฐานสำคัญว่าทะเลเคยกินลึกเข้าไปถึงวัดนี้ซึ่งห่างจากทะเลถึง 70 กิโลเมตร หรือถึงนครสวรรค์เลยทีเดียว ในความเป็นจริง ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทะเลถูกแผ่นดินกินไปต่างหาก เพียงแต่ไม่กี่ปีหลังมานี้ มีการตัดป่าไม้โกงกางเพื่อการเลี้ยงกุ้งหรือเกษตรกรรมอื่น ๆ มาก จึงเกิดการกัดเซาะชายฝั่ง ไม่ได้มีปัญหาเรื่องโลกร้อนแต่อย่างใด
แปลกไหม ทำไมลอนดอน ปารีส โรม ไม่ย้าย
คนไทยทั้งหลายรวมทั้งผมด้วย ไปยุโรปทีไร ก็ไปชื่นชมสถาปัตยกรรมเก่า ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจของกรุงลอนดอน ปารีส บรัสเซลส์ เบอร์ลิน ฯลฯ เฉพาะในกรุงลอนดอน ผู้คนก็มักเดินเล่นไปตามสวนไฮด์ปาร์ค พระราชวังบัคกิงแฮม บิ๊กเบน อาคารรัฐสภา บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง ซึ่งเป็นที่พำนักของนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ผ่านกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ไปจนถึงจัตุรัสทราฟัลการ์ ฯลฯ จะสังเกตได้ว่าวิหาร ราชวัง พิพิธภัณฑ์ และอื่นๆ ต่างตั้งอยู่ใกล้ชิด
สิ่งหนึ่งที่ผมฉุกคิดขณะเดินก็คือทำไมเขาไม่ย้ายกรุงลอนดอนออกไปบ้าง หรือย้ายเฉพาะส่วนราชการออกนอกเมืองเช่นที่ประเทศไทยหรือประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เขาทำกันมาแล้ว ท่านทราบไหมลอนดอนมีอายุประมาณ 2,000 ปี ปารีสก็มีอายุพอ ๆ กัน นครหลวงในยุโรปล้วนมาอายุนับพันปี กรุงโรมมีอายุถึง 2,800 ปี ทำไมเขาไม่คิดย้ายเฉกเช่นที่นักผังเมืองไทยคิดต่อกรุงเทพมหานครที่มีอายุเพียง 233 ปีบ้าง แนวคิดการย้ายเมืองหลวงคงมีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน
ลองย้อนกลับมายังกรุงลอนดอน ปรากฏว่ารัฐบาลอังกฤษมีกระทรวงต่าง ๆ ถึง 24 แห่ง แต่ส่วนมากมักจะตั้งอยู่ในเขตใจกลางเมืองเป็นสำคัญเป็นสำคัญ น่าแปลกไหมอังกฤษมีประชากรพอ ๆ กับไทย เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่กลับสามารถใช้พื้นที่ในใจกลางเมืองทำการบริหารรัฐกิจโดยไม่ต้องย้ายออกไปนอกเมืองเช่นประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ชอบนักที่จะสร้างเมืองใหม่ ทำเนียบรัฐบาลของเขามีขนาดเล็กกว่าของไทยอย่างเทียบกันไม่ติด กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ก็มีขนาดกะทัดรัดแต่บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ย้ายเมืองหลวง: วาระซ่อนเร้น
"วาระซ่อนเร้น" ของการย้ายเมืองหลวงนั้น อาจเป็นเพราะข้าราชการต้องการจะสร้าง "อัครสถาน" ให้ตนเองได้ทำงานโดยถลุงงบประมาณไปเป็นอันมาก แต่ได้ผลตอบแทนน้อย ลองนึกดูว่าศูนย์ราชการที่สร้างขึ้นที่แจ้งวัฒนะ ถ้าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของเอกชน จะก่อสร้างอาคารแบบหลวม ๆ เช่นนี้หรือ มีใครเคยเดินจากถนนแจ้งวัฒนะเข้าไปจนถึงอาคารศูนย์ราชการบ้างไหม ส่วนมากคงเดินไม่ไหวเพราะไกลกันเหลือเกิน
ยิ่งกว่านั้นการที่มีข่าวว่าจำนวนนายพลไทยยังมีมากกว่าสหรัฐอเมริกา แสดงว่าระบบราชการไทยใหญ่โตเทอะทะเกินเหตุ ใช้เงินงบประมาณ ใช้สถานที่มากเกินความต้องการ อย่างงบประมาณแผ่นดินไทยปีหนึ่ง ๆ ค่าใช้จ่ายหลักประมาณ 70-80% ก็คือค่าจ้างข้าราชการและค่าใช้จ่ายประจำ เงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศเป็นเพียงส่วนน้อย ด้วยระบบราชการที่ใหญ่โตเช่นนี้จึงทำให้ต้องย้ายออกจากเขตใจกลางเมืองเดิม
อนุรักษ์เมืองแบบ "คนตายขายคนเป็น"
ความคิดผิดเพี้ยนของการย้ายเมืองอีกอย่างหนึ่งก็คือ การอ้างถึงการรักษาศิลปวัฒนธรรมหนึ่งจนทำลายศิลปวัฒนธรรมอีกอันหนึ่ง คิดง่าย ๆ ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นสมัยนี้ เราคงไม่มีโอกาสสร้างสะพานพระปิ่นเกล้า เพราะคงถูกหาว่าไม่ต้องตามการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ เราถึงขั้นทำลายอาคารศาลฎีกาเดิม เพียงอ้างว่าไม่ต้องกับอาคารแบบ "รัตนโกสินทร์" ทั้งที่ในวังหลวงเองก็มีอาคารสถาปัตยกรรมยุโรปมากมาย เรา "บ้า" เข้าขั้นถึงขนาดทุบศาลาเฉลิมไทย ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ทั้งที่อาคารก็ยังแข็งแรงกว่าศาลาเฉลิมกรุงด้วยซ้ำ ดูอย่างลอนดอน ปารีส ฯลฯ อาคารศิลปกรรมสมัยใหม่และเก่ากลับอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่อายกัน
แต่เดิมสนามหลวงเป็นศูนย์รวมรถประจำทาง ก็ถูกยกเลิกไป อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถือเป็นใจกลางเมือง กม.0 ของ กรุงเทพมหานคร ก็ไร้ความหมาย รถไฟฟ้าที่จะวิ่งข้ามสะพานพระราม 7 ก็เป็นหม้าย แม้จะสร้างสะพานรถไฟฟ้าเตรียมไว้แล้วก็ตาม ดังนั้นใจกลางเมืองของไทยจึงขาดการพัฒนาเพราะขาดระบบขนส่งมวลชน และค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงไป ทั้งเยาวราช สำเพ็ง บางลำพู ฯลฯ ศูนย์กลางเมืองก็ขยายไปออกไปรอบนอกอย่างไร้ทิศผิดทาง
อยู่ที่นี่ สู้ตรงนี้
ถ้าเรารักษาใจกลางเมืองไว้อย่างยุโรปหรือโตเกียว โอซากา โซล เราก็ควรวางระบบขนส่งมวลชนที่ดี แต่นี่เรากลับล้มเลิกไปหมด หรือถ้าจะสร้างเมืองใหม่ ก็สร้างชิดติดกับใจกลางเมืองเดิม ไม่ใช่สร้างออกไปนอกเมือง เช่น การสร้างผู่ตงที่อยู่คนละฝั่งกับใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ถูเทียมที่อยู่คนละฝั่งกับใจกลางโฮจิมินห์ซิตี้ ดีซีซิตี้ที่อยู่คนละฝั่งกับใจกลางกรุงเวียนนา ก็ยังทำได้
ยิ่งกว่านั้นทางเลือกหนึ่งในการขยายเมืองก็คือ การ "สร้างเมืองซ้อนเมือง" โดยเอาสถานที่ราชการ เช่น ท่าเรือ ค่ายทหาร หรืออื่น ๆ มาสร้างเป็นศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ใหม่ ในกรุงลอนดอนก็มีการแปลง London Docklands มาใช้เพื่อการพาณิชย์ ในกรุงมะนิลาก็ย้ายค่ายทหารใจกลางเมืองออกไปทำศูนย์การค้า ท่าเรือคลองเตยและที่ดินรถไฟริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีพื้นที่รวมกันเกือบ 3,000 ไร่ สามารถมาสร้าง CBD ในใจกลาง CBD ได้เลย
การย้ายเมืองหลวงจะสร้างต้นทุนโดยไม่จำเป็นอีกมหาศาล ถือเป็นแนวคิดแบบจนตรอกของพวกที่ชมชอบการ "ล้มกระดาน" ด้วยการย้ายกรุง ไปสร้างปัญหาที่ใหม่ ทั้งที่มหานครอื่นอยู่กันมานับพันปียังอยู่ได้ ไทยต้องจัดการวางแผนพัฒนาเมืองให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะจะชอบแต่ย้ายท่าเดียว ถ้าไทยยังวางผังเมืองส่งเดชเช่นทุกวันนี้ กรุงเทพมหานครจะยิ่งเละเทะ แต่การไปสร้างที่ใหม่คงแก้ปัญหาไม่ได้
ต้องปฏิวัติ ปฏิรูปแนวคิดการวางผังเมืองเสียแต่วันนี้ แต่โดยใช้สภาที่เป็นผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่สภาที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมด้วย
อสังหาริมทรัพย์ทั้งเก่าและใหม่อยู่ร่วมกันได้ในกรุงลอนดอน
การกัดเซาะชายฝั่งของไทย ไม่ใช่เป็นเพราะปัญหาโลกร้อน
ย่านการค้าหลักช็องเซลีเซของปารีสที่ไทยนำมาสร้างถนนราชดำเนิน
ถนนราชดำเนินกลางที่ควรเป็นศูนย์การค้าหลัก ก็กลับไม่เป็นดังหวัง
ที่มา: https://goo.gl/tSyzfs
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย



