บ้านพักศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ได้อยู่ในป่าสงวน แต่ว่า. . .
เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวชี้แจงว่า "ปธ.ศาลอุทธรณ์ภาค5 ยันบ้านพักเชิงดอยสุเทพ ไม่รุกป่าสงวน" (http://bit.ly/2FiCCr7) โดยมีรายละเอียดว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2561คนงานก่อสร้างยังคงเดินหน้าสร้างบ้านพัก และอาคารชุด บริเวณเชิงดอยสุเทพ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ กว่า 147 ไร่ อย่างต่อเนื่องแม้จะมีกระแสการต่อต้านก็ตาม โดยมีความคืบหน้าไปกว่า ร้อยละ 80 อาคารที่ก่อสร้างประกอบด้วย ที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพักผู้พิพากษา 38 หลัง บ้านพักผู้บริหาร 7 หลัง รวมบ้านพัก 45 หลัง และ อาคารชุด 13 หลัง ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับการพักอาศัยของผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการได้ประมาณ 200 คน โดยระบุว่า ที่ดินผืนนี้เป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงการคลัง อยู่ในความครอบครองใช้ประโยชน์ของกองทัพบกตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายหลังมีประกาศ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ปี 2507 แต่ไม่ได้กระทบสิทธิการครอบครองใช้ประโยชน์ของกองทัพบก ทำให้พื้นที่นี้ไม่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยสุเทพ
ส่วนในกรณีการคัดค้านนี้ ดร.ทนง ทองภูเบศร์ ได้สร้างแคมเปญรณรงค์นี้ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ change.org หัวข้อรณรงค์ “ขอให้ศาลอุทธรณ์ ภาค 5 คืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา” (http://bit.ly/2I2J0o9) ปรากฏว่ามีผู้ลงชื่อนับถึงวันที่ 6 มีนาคม 2561 จำนวน 19,497 คนแล้ว ดร.ทนง ให้เหตุผลดังนี้:
1. ยังมีที่ดินอื่นอีกมากที่จะใช้ทำเป็น “บ้านพัก” ให้กับข้าราชการ โดยไม่ต้องขึ้นไปแผ้วถางพื้นที่เชิงดอยสุเทพ ไม่เป็นการเบียดเบียนพื้นที่ป่าธรรมชาติ และระบบนิเวศน์ภูเขา จึงควรไปใช้พื้นที่อื่น เพื่อโลก เพื่อระบบนิเวศน์ภูเขา เพื่อประเทศ เพื่อประชาชน และเพื่อธำรงไว้ซึ่งศรัทธาต่อสถาบันตุลาการ
2. ไม่ว่า โครงการก่อสร้าง จะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ ไม่คุ้มค่า กับคุณค่าแท้ของพื้นที่ป่าธรรมชาติ และระบบนิเวศน์ภูเขา
3. การรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าธรรมชาติ และระบบนิเวศน์ภูเขา จะทำให้สูญเสียทัศนียภาพที่งดงามของดอยสุเทพ และเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นมรดกที่ล้ำค่าทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม ทั้งยังทำให้สูญเสียป่าที่เป็นปอดของคนเชียงใหม่
4. เมื่อรัฐยังมีกลไกเข้าใช้พื้นที่ป่าธรรมชาติได้ตามอำเภอใจ และก็อ้างว่าทำถูกกฎหมายแล้ว เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะไม่สามารถไว้วางใจได้ว่า จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกับโครงการนี้อีก ต้องมาทบทวนกลไกการเข้าใช้พื้นที่ป่าธรรมชาติ และสำหรับโครงการนี้ควรต้อง ยุติโครงการไว้ก่อนเพื่อมาทบทวนสิ่งที่รัฐได้ทำลงไป และร่วมกับภาคประชาชนว่าจะแก้ไขกลไก และโครงการก่อสร้างอย่างไรต่อไป
ต่อกรณีนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตป่าดังที่เข้าใจเพราะเป็นที่ราชพัสดุตามที่ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้ชี้แจงไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม สภาพที่ปรากฏอาจ "ขัดสายตา" เนื่องจากที่ผ่านมาคงไมได้ใช้ประโยชน์ ต้นไม้จึงขึ้นรกชัฏเช่นเดียวกับผืนป่า
ภาพที่ 1: ที่ดินก่อนการถากถาง ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2556 (google-earth)
ภาพที่ 2: ที่ดินที่เริ่มมีการถากถาง ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 (google-earth)
ภาพที่ 3: ที่ดินตามสภาพปัจจุบัน ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 (google-earth)
ภาพที่ 4: การตรวจสอบที่ดินเบื้องต้นกับเว็บไซต์ของ DSI
ภาพที่ 5: จุดที่ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินเบื้องต้น
ผลการตรวจสอบเบื้องต้นกับเว็บไซต์ของ DSI (http://map.dsi.go.th) พบว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในแนวเขตป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ถาวร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ใด ๆ อย่างไรก็ตามข้อมูลในรายละเอียด อาจต้องตรวจสอบกับทางกรมธนารักษ์ การตรวจสอบเบื้องต้นกับเว็บไซต์ DSI นี้ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปในการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนการซื้อขายที่ดินด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ การก่อสร้าง "บ้านพักผู้พิพากษา 38 หลัง บ้านพักผู้บริหาร 7 หลัง รวมบ้านพัก 45 หลัง และ อาคารชุด 13 หลัง ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับการพักอาศัยของผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการได้ประมาณ 200 คน" การใช้เงินถึง 1,000 ล้าน และหากที่ดินแปลงนี้ต้องซื้อหาด้วย ก็คงเป็นเงินอีก 1,000 ล้านบาทโดยประมาณการในเบื้องต้น ก็เท่ากับข้าราชการส่วนภูมิภาคของศาล 200 คน ใช้เงินเพื่อการนี้ถึงคนละ 10 ล้านบาท
ผลประโยชน์ที่ข้าราชการส่วนภูมิภาคได้รับถึง 10 ล้านบาทนี้ นับว่าสูงมาก การสร้างด้วยเงินมากมายเพียงนี้สำหรับข้าราชการส่วนภูมิภาคอาจเป็นประเด็นเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ สำหรับส่วนราชการอื่น จึงควรที่จะให้รับข้าราชการในท้องถิ่น เพื่อไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้ ดร.โสภณ เคยเสนอให้เลิกราชการส่วนภูมิภาค (http://bit.ly/2b53LRC) โดยระบุว่า
ราชการส่วนภูมิภาค หรือก็คือแขนขาของราชการส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่าง ๆ นั้น มีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมากถึง 360,928 คน ตามข้อมูลคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2557 หรือ 17% ของข้าราชการทั้งหมด แต่ราชการส่วนท้องถิ่น มีกำลังคนเพียง 22% เท่านั้น ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในจังหวัดภูมิภาคหรือในชนบท กลับมีข้าราชการไป "รับใช้ประชาชน" น้อยมาก ที่น่าสังเกตก็คือราชการส่วนกลาง ที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพมหานครมีข้าราชการรวมกันถึง 1,267,609 คนหรือราว 61% ของทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงองคาพยพที่ใหญ่โตมากของระบบราชการที่อาจมีกำลังคนเกินความจำเป็น (นอกจากนั้นข้อมูลข้างต้นยังรวมเฉพาะในส่วนของกำลังคนในฝ่ายพลเรือนเท่านั้น ยังไม่รวมรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการทหารที่มีอีก)
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน (ณ ปี 2558) ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากรรวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆ อย่างค่ารักษาพยาบาล และบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล. . .เมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย รองจากบาร์เรนและมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ประมาณ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%) (http://bit.ly/1zgXzfh)
ในอดีตประเทศไทยมีแต่ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจดทะเบียนต่างๆ ก็ต้องไปติดต่อที่อำเภอ หรือจังหวัด แต่ในปัจจุบันเรามีราชการส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าบทบาทของอำเภอหรือจังหวัดมีน้อยลงมาก ยกเว้นอำนาจจากส่วนกลางที่พยายามจะรักษาไว้เพื่อการควบคุมส่วนท้องถิ่น อันที่จริงควรมีการเลือกตั้งนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อการกระจายอำนาจ นี่จึงเป็นการปฏิรูประบบราชการที่แท้ และให้อำนาจตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูจากแนวโน้มประเทศไทยเราคงเดินไปในแนวทางที่จะให้อำนาจข้าราชการประจำมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมท้องถิ่นให้มีอำนาจจริง
ในการส่งเสริมส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดำเนินการได้โดยให้อำนาจส่วนท้องถิ่นในการจัดการศึกษา การดูแลความปลอดภัย การปกครองโดยตรง โดยมีข้าราชการเป็นของตนเอง ไม่สังกัดส่วนกลาง ไทยก็จะมีองคาพยพของระบบราชการที่ไม่อุ้ยอ้าย ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการที่ "เทอะทะ" ตัดวงจรเส้นสายต่าง ๆ ไป ยิ่งกว่านั้นยังควรให้ท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งหรือสรรหา "City Manager" (ผู้จัดการเมือง) "City Appraiser" (ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน) หรือผู้บริหารการศึกษา ผู้จัดการฝ่ายโยธา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา โดยมีข้าราชการประจำคอยปฏิบัติตามนโยบาย ไม่ใช่ให้ข้าราชการประจำที่ควรรับใช้ประชาชนกลับมา "ขี่คอ" และไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้อีกด้วย
สำหรับผู้พิพากษานั้น (กรณีฟลอริดา: http://bit.ly/2c8Dksc) ในกรณีที่ไม่ใช่ศาลปกครอง แต่เป็นศาลแพ่ง ศาลอาญาผู้พิพากษามาจากการเลือกตั้ง และไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติว่าต้องจบกฎหมายเสียด้วย (แต่ผู้สมัครทุกคนก็จบกฎหมาย) ทั้งนี้ยกเว้นศาลปกครอง ซึ่งพิจารณาคดีระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ก็จะมาจากการแต่งตั้ง โดยอำนาจของประธานาธิบดี การมีการเลือกตั้งผู้พิพากษาเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในท้องถิ่น เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ดีกว่าผู้พิพากษาจากส่วนกลางที่ไม่ยึดโยงประชาชนและไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง การเลือกตั้งผู้พิพากษาจึงเหมือนการให้อำนาจ เคารพภูมิปัญญาท้องถิ่น และให้ความสำคัญแก่ท้องถิ่น ผู้นำ ผู้มีอิทธิพลทางความคิดในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ที่สำคัญไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้ข้าราชการกลุ่มนี้
อาจถึงเวลาที่เราต้องปฏิรูประบบราชการอย่างถึงแก่นกว่านี้
ที่มา: https://goo.gl/WtiXoC
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
ตรงนี้มีคำตอบคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ใช้ไม่หมดสามารถนำไปใช้เฟส 2 ได้หรือไม่
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
"เจ้าหญิงซัมซุง" ยิ่งโตยิ่งสวย! แถมยังรวยล้นฟ้า..บอกเลยดีกรีไม่ธรรมดา
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
จากผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ สู่ผู้ต้องลุ้นชะตา ฮุนเซน กับเกมหนีคุกสหรัฐฯ
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
แรคคูนเมาแอ๋! บุกร้านเหล้าอเมริกัน ฉกวิสกี้ดื่มจนหลับคาห้องน้ำ
ตำรวจแยกสอบ 2 เคส! “เวย์ ไทเทเนี่ยม” ถูกเหยื่อแจ้งความฉ้อโกง อ้างชื่อนักธุรกิจดังตุ๋นลงทุนหุ้นทิพย์ สูญกว่า 50 ล้าน
ปริศนาแห่งห้วงลึก เผยโฉม "ปลาหมึกเจ็ดแขน" สัตว์ยักษ์ที่หาตัวยากที่สุดในโลก


