ไม่มีภาษีที่ดิน = ขายชาติ
ผลที่เคยประมาณการไว้สำหรับมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ต่างชาติเข้าซื้อ 15 อันดับแรกซึ่งเป็นถือเป็นพื้นที่เป้าหมายของต่างชาติได้แก่
หากอนุมานเบื้องต้นว่าอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองโดยต่างชาติเป็น 20 เท่าของมูลค่าในปี 2555 ก็จะเป็นเงินประมาณ 1.34 ล้านล้านบาท หากมีการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประมาณ 2% ของมูลค่าทรัพย์สิน ก็จะเป็นเงินประมาณปีละ 26,805 ล้านบาท แต่ประเทศไทยไม่มีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็เท่ากับเราให้ต่างชาติมาครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ เช่นที่ต่างชาติถือครองในประเทศของตนเองเลย แต่หากคนไทยไปซื้อบ้านในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีราคาหลังละ 10 ล้านบาท ก็ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปีละเฉลี่ย 2% ของราคาประเมินซึ่งใกล้เคียงกับราคาตลาด หรือเป็นเงิน 200,000 บาท
การไม่ให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จึงสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง เพียงเพราะชนชั้นนำผู้มีอำนาจในสังคมไทยไม่ต้องการเสียภาษีดังกล่าวนั่นเอง ชนชั้นนำอาจไม่เข้าใจว่าการเสียภาษีนี้ จะยิ่งทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเพราะนำเงินมาพัฒนาท้องถิ่นโดยตรงโดยไม่ต้องส่งเข้าส่วนกลางเช่นในกรณีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โอกาสการรั่วไหลจึงน้อยว่า หากมีการรั่วไหลก็คงเป็นในระยะแรก แต่หากประชาชนต่างมุ่งตรวจสอบเงินภาษีที่ตนเสียไปเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ความโปร่งใสก็จะเกิดขึ้น โอกาสรั่วไหลก็จะค่อย ๆ ลดลง
สำหรับภาษีมรดก ถ้าเราไปซื้อทรัพย์ในต่างประเทศ ต้องเสียหนัก แต่ไทยหลวมมาก
1. ในกรณีประเทศญี่ปุ่น กำหนดให้ผู้มีมรดกไม่เกิน 10 ล้านเยน (3 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีมรดก ต้องเสียภาษี 10% ไปจนถึงอัตราสูงสุดคือ 50% (https://goo.gl/QjyNfR)
2. ในอังกฤษ ผู้ที่มีมรดกตั้งแต่ 350,000 ปอนด์ (18.15 ล้านบาท) ต้องเสียภาษีมรดก โดยเสียสูงถึง 40% ของมูลค่า (https://goo.gl/4q43Fx)
3. ในสหรัฐอเมริกา ราคาขั้นต่ำของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดกเป็นเงิน 5.34 ล้านดอลลาร์ หรือ 172.319 ล้านบาทในปี 2557 ส่วนในระดับมลรัฐ ผศ.กานดา นาคน้อยได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าภาษีมรดกเก็บกับทรัพย์สินที่มีค่าตั้งแต่ 2 ล้านดอลลาร์ (64.5 ล้านบาท) ขึ้นไปโดยเก็บในอัตราสูงสุด 20% (http://bit.ly/1JC2f4n)
จะเห็นได้ว่าทุกประเทศกำหนดขีดคั่นที่ต้องเสียภาษีไว้ต่ำกว่า ไทยเสียอีก แต่ของไทยมีข้อยกเว้นที่หลวมกว่า ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงค่าของเงินแล้ว ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น กำหนดให้ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี มีมูลค่าต่ำกว่าของไทยที่กำหนดไว้เป็นเงิน 100 ล้านบาทขึ้นไปจากราคาประเมินของทางราชการ ยิ่งกว่านั้นราคาที่ต้องเสียภาษีนั้นคิดตามราคาประเมินของทางราชการซึ่งมักต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอันมาก แต่ในประเทศตะวันตกราคาประเมินทางราชการกับราคาตลาดใกล้เคียงกันมาก
นี่แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่าในประเทศตะวันตก เขาพยายามทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากกว่าไทย แต่เดิม เราเชื่อกันว่า ภาษีมรดกคงไม่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริง แม้รัฐบาลจากรัฐประหาร ก็ไม่อาจเข็นกฎหมายภาษีมรดกได้เช่นกัน เพราะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ล้วนแต่มีฐานะดีทั้งสิ้น เข้าทำนองภาษิตกฎหมายที่ว่า "ชนชั้นใดเขียนกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น" นั่นเอง
แย่จัง!