ตีแสกหน้า ดร.สมคิด เศรษฐกิจไม่ดี. . .ท้าพิสูจน์
เพื่อเป็นการพิสูจน์แบบ "ตีแสกหน้า" ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เมื่อเช้าวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) และคณะได้ออกสำรวจความคิดเห็นของผู้ค้าแผงรายย่อย และรถสามล้อรับจ้างในบริเวณวัดอรุณราชวราราม ท่าเตียนแถววัดโพธิ์ ท่าช้างแถวพระบรมมหาราชวัง และถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจไปท่องเที่ยวมากที่สุด ในแต่ละบริเวณมีร้านค้า แผงลอยและผู้ประกอกการอยู่ราว 150-200 ราย โดย ดร.โสภณและคณะสำรวจแห่งละประมาณ 32 รายหรือราว 20% ของผู้ค้าทั้งหมด
ผลการสำรวจเบื้องต้นเป็นดังนี้:
1. ที่บริเวณวัดอรุณราชวราราม ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเนื่องจาก พระปรางค์วัดอรุณเพิ่งบูรณะเสร็จ และเรือด่วนผ่าน (จากแต่เดิมผ่านเฉพาะท่าเตียน และปัจจุบันไม่มีท่าเรือด่วนทีท่าเตี่ยนแล้ว) โดยมีนักท่องเที่ยวเพิ่มจากเดิมประมาณ 4.4% โดยประมาณ รายได้จากการขายก็ดีกว่าเดิมเล็กน้อย ทั้งนี้โดยถือว่าการขายในปี 2560 เท่ากับ 100% ปีนี้เพิ่มขึ้น 0.6% อย่างไรก็ตามผู้ค้าเห็นว่าเศรษฐกิจตกต่ำลงกว่าปี 2560 จาก 100% เหลือ 98.1% และคาดว่าปี 2562 เศรษฐกิจยังจะตกต่ำลงไปอีกเหลือเพียง 97% จาก 100% ในปี 2560
2. ที่บริเวณท่าเตียน วัดโพธิ์ ซึ่งปัจจุบันไม่มีเรือด่วนผ่านแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ โดยนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.6% ต่ำกว่าที่วัดอรุณราชวราราม ส่วนรายได้จากการขายสินค้า กลับลดลงจาก 100% ในต้นปี 2560 เหลือ 96.6% ในต้นปี 2561 ผู้ค้าประเมินภาวะเศรษฐกิจจาก 100% ณ ต้นปี 2560 เหลือ 96.4% ในปี 2561 และคาดว่าจะตกลงเหลือ 91.4% ในปี 2562
3. บริเวณท่าช้างใกล้กับพระบรมมหาราชวัง ก็เป็นอีกจุดที่มีนักท่องเที่ยวหนาตาเป็นพิเศษ ปรากฏว่าผู้ค้าเห็นว่านักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่าต้นปี 2560 ถึง 7.2% แต่รายได้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น คือเป็นเพียง 98.1% ของรายได้ในช่วงต้นปี 2560 ในด้านภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ค้าและสามล้อประจำย่านนั้นก็มองว่า ยังตกต่ำกว่าปี 2560 คือในปีนี้เหลือเพียง 96.6% และในปี 2560 น่าจะเหลือ 93.4%
4. ในบริเวณถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกัน แต่ในสายตาของผู้ค้าและสามล้อในพื้นที่กลับมองว่านักท่องเที่ยวลดลง ผู้เข้าพักก็ลดลงกว่าแต่ก่อน เหลือเพียง 96.8% ของปี 2560 รายได้จากการขายสินค้าก็ลดลงเหลือเพียง 93.2% ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุดใน 4 บริเวณนี้ ส่วนเศรษฐกิจ ผู้ค้าในย่านถนนข้าวสารประเมินไว้ต่ำสุดคือ 95.8% และคาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจน่าจะลงต่ออีกเล็กน้อย เหลือ 91.3%
5. โดยสรุปทั้ง 4 บริเวณพบว่า นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจริง คือประมาณ 2.5% จากต้นปี 2560 แต่รายได้ลดลงเหลือ 97.2% ซึ่งแม้ไม่ได้ลดลงมาก แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของชาติก็ดูตกต่ำลงจาก 100% เหลือ 96.7% เท่านั้น และที่สำคัญในปี 2562 คาดว่ายังจะลงต่อไปเหลือ 93.3%
สาเหตุที่นักท่องเที่ยวเพิ่ม แต่ขายสินค้าได้น้อยลงก็เพราะ นักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพจากยุโรปมาลดลง เนื่องจากผลของรัฐประหารส่วนหนึ่ง ลูกค้าที่มามากก็คือชาวจีนซึ่งมักมาเป็นหมู่คณะ ไม่ได้ซื้อสินค้าอะไรมากนัก มาเดินมากกว่า ลูกค้าต่างชาติที่มา ยังต่อรองราคาอย่างสุดจะน่าเกลียด เช่น สินค้าราคา 100 บาท ต่อครึ่งราคา หรือต่อเหลือ 30 บาทบ้าง แม่ค้าบางรายถึงกับระบุว่าชาวพม่าที่มาทำงานในประเทศไทย แล้วแวะมาเที่ยว ยังมีกำลังซื้อมากกว่านักท่องเที่ยวเสียอีก และไม่ต่อรองราคาครึ่งต่อครึ่งเช่นนี้ นอกจากนั้น ยังอาจเป็นเพราะมีผู้ค้ามากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผู้ค้าหลายรายโดยเฉพาะที่ถนนข้าวสารก็เจ๊งไปหลายร้าน โรงแรมก็ไม่เต็มเช่นเมื่อหลายปีก่อนรัฐประหาร
โดยนัยนี้ที่ทางราชการประกาศว่านักท่องเที่ยวมาไทยมากขึ้น แต่กำลังซื้อจำกัด และคุณภาพของนักท่องเที่ยวก็ไม่เหมือนเดิม ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจที่ทางราชการบอกว่าดีขึ้น แม้แต่แม่ค้าในย่านท่องเที่ยวยังเห็นว่าไม่ดี แต่ภาวะเศรษฐกิจแม่ค้าในพื้นที่ท่องเที่ยวยังดีกว่าแม่ค้าทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ภาวะเศรษฐกิจของประชาชนทั่วไป จึงตกต่ำลงกว่าแต่ก่อน เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอาจดูดีขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีก่อน หรือโดยเฉพาะช่วง 10 ปีกว่าก่อน สถานการณ์ดีกว่านี้
รัฐบาลจึงควรเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ดีด้วยการ "ให้เบ็ด" แบบ "ประชานิยม" ของรัฐบาลก่อนๆ มากกว่าการ "ให้ปลา" แจกเงินแบบ "ประชารัฐ" ของรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนมีอิสรภาพทางการเงิน สามารถที่จะพัฒนาตนเองให้พ้นจากความยากจนได้ สิ่งที่ ดร.สมคิดพูดว่าเศรษฐกิจดีจึงเสมือนการ "ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ" หากเขาหลงเดินตามไป ก็อาจ "ตกเหว" ได้ ประชาชนทั่วไปจึงควรออมให้มาก ไม่ใช่ไปหาซื้อสินค้าในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อย่างเด็ดขาด
ปล. ดร.โสภณ ยินดีเป็นอย่างยิ่งหากวิเคราะห์ผิด เพราะชาติจะได้เจริญตามที่ ดร.สมคิด คุยไว้ และกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะวิเคราะห์ผิด เพราะทุกวันนี้ที่เจริญ ก็เจริญแต่พวก "เจริญโภคภัณฑ์" และ "เจริญ สิริวัฒนภักดี"!!!
ที่มา: https://goo.gl/gyYvQi