รวมเรื่องจริงและทฤษฎีเบื้องหลัง 6 ปริศนาเร้นลับสะเทือนโลกที่ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้แน่ชัด
เชื่อว่าคนเราหลายๆคนต้องชื่นชอบเรื่องเร้นลับกันเป็นธรรมดา ยิ่งน่าพิศวงมากเท่าไร่ก็ยิ่งถูกใจ แม้ว่าปัจจุบันเราจะเป็นมนุษย์ยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังชอบเรื่องราวที่ดูเหมือนจะท้าทายหลักตรรกะและความเป็นจริง แล้วเอาไปเชื่อมโยงกับสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติอยู่ดี ส่วนจะเชื่อไม่เชื่อหรืออย่างไรนั้น คงต้องแล้วแต่คุณตัดสินใจเองแล้วล่ะ
ปริศนาเทือกเขาดยัตลอฟ: เรื่องจริง
ในคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1959 กลุ่มนักสกีและปีนเขาวัยรุ่นรวม 9 คนได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนาที่ในแถบเทือกเขาอูราล บนภูเขาโคแลตสแยกหล์ หรือที่ขึ้นชื่อว่า “เมือกเขามรณะ” ในรัสเซีย ทีมนักสืบสวนระบุว่าพวกเขาจำนวนหนึ่งฉีกเต็นท์ที่พักออกมาทั้งๆที่ไม่ได้สวมรองเท้า แล้วยังลุยหิมะหนาท่ามกลางอุณหภูมิ -30 °C แต่สภาพศพก็ไม่ได้แสดงหลักฐานของการดิ้นรนใดๆ นอกเสียจากว่าพวกเขาต่างก็อยู่ในสภาพที่เกือบจะไม่ได้สวมเสื้อผ้า บางคนถึงขนาดสวมแต่กางเกงใน มี 2 คนที่กะโหลกศีรษะร้าว, 2 คนซี่โครงหัก และอีก 1 คนที่ลิ้นหายไป ผลการชันสูตรผมว่ามี 6 คนที่เสียชีวิตจากความหนาว ส่วนอีก 3 คนเสียชีวิตเพราะได้รับบาดเจ็บรุนแรง
ไม่มีผู้รอดชีวิตจากเหตุดังกล่าว แต่ภาพที่ได้จากฟิล์มที่พบในสถานที่ตั้งแคมป์ แสดงให้เห็น อิกอร์ ดยัตลอฟ หัวหน้าทีม ที่ยืนอยู่ห่างไปด้านหลัง ขณะที่ ยูริ นูดิน (คนกลาง) กำลังสวมกอดเพื่อบอกลากับ ลยุดมิลา ดูบินิน่า ก่อนที่จะถอนตัวออกจากการเดินทางก่อนเพราะมีอาการเจ็บป่วย
บางคนระบุว่าสาเหตุเกิดมาจาดการทดลองอาวุธที่พวกทหารพยายามปกปิด ผู้ที่ไปร่วมงานศพของทีมนักปีนเขาผู้เสียชีวิตระบุว่า ผิวของผู้ตาย 5 คนมีสี “น้ำตาล-แทนเข้ม” ในขณะที่คนอื่นๆสวมใส่เสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีเข้มข้น นักปีนเขาอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากสถานที่เกิดเหตุราว 50 กม. ในคืนเดียวกันนั้นระบุว่า พวกเขาเห็นลูกไฟสีส้มบนท้องฟ้า แต่ต่อมาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจรวดมิสไซล์ R-7
สาเหตุที่จะเป็นไปได้ที่สุดก็คือ หิมะถล่ม ที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแคมป์ที่พักถึงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โดยนักปีนเขาผู้เคราะห์ร้ายอาจจะต้องหาทางเอาชีวิตรอด จึงฉีกเต็นท์หนีออกมา แล้วก็ต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บ สภาวะร่างกายสูญเสียความร้อนอาจจะส่งผลให้เกิดภาพหลอนทำให้สมองทำงานผิดเพี้ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม คือทำให้คิดไปว่าตัวเองรู้สึกอบอุ่นจนอยากถอดเสื้อผ้าออก พวกเขาหลายๆคนจึงอยู่ในสภาพที่สวมใส่เสื้อผ้าได้ไม่เรียบร้อยดีนัก และนั่นยิ่งทำให้ร่างกายยิ่งสูญเสียความร้อนรุนแรงมากขึ้นไปอีกจนกระทั่งเสียชีวิต ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บทางร่างกายและลิ้นที่ขาดหายไปก็คาดว่าน่าจะเกิดจากหิมะถล่ม หรือไม่ก็ตอนที่พยายามหนีจากหิมะถล่ม และการที่ร่างของพวกเขาต้องนอนอยู่กลางสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้สัตว์ต่างๆเข้ามาทำร้ายหรือกัดกินได้นั่นเอง
แต่แม้ทฤษฎีหิมะถล่มจะฟังดูสมเหตุสมผลมากแค่ไหน ถึงอย่างไรเราก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเสื้อผ้าของเหยื่อบางคนถึงได้ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีเข้มข้นได้อยู่ดี?
ปริศนาหน้ากากตะกั่ว: เรื่องจริง
ในช่วงบ่ายของวันที่ 20 สิงหาคม 1966 เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ขึ้นไปเล่นว่าวที่ภูเขาวินตัม ในรีโอเดจาเนโร บราซิล แล้วบังเอิญไปพบศพของชาย 2 คนนอนอยู่ข้างๆกัน ปกคลุมด้วยหญ้าเล็กน้อย โดยที่ทั้ง 2 ร่างต่างก็สวมชุดสูท, เสื้อโค้ทกันน้ำ และหน้ากากตะกั่วปิดตาแบบเดียวกับที่ใช้เพื่อป้องกันรังสี ที่ข้างๆร่างทั้ง 2 ตำรวจได้พบขวดน้ำเปล่า, ผ้าเย็นสองห่อ รวมทั้งสมุดโน้ตที่จดบันทึกข้อความไว้ว่า ” 16.30 ไปยังสถานที่ที่ได้ตกลงไว้ 18.30 กลืนแคปซูล, ผลกระทบ, โลหะป้องกัน, รอสัญญาณ”
ชายทั้ง 2 ถูกระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคไฟฟ้าชื่อ มานูเอล เปไรรา เดอ ครูซ และ มิเกล โจเซ วิอานา ที่เดินทาง 260 กม. มายังเมืองรีโอจากบ้านของพวกเขา พยานระบุว่าทั้ง 2 ได้ซื้อเสื้อโค้ทและน้ำจากร้านค้าในละแวกนั้น พยานคนที่เห็นชายทั้ง 2 ในขณะที่ยังมีชีวิตเป็นคนสุดท้ายให้ปากคำไว้ว่า นายมิเกล ดูกังวลเรื่องเวลาเอามากๆ เพราะเขาคอยมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
กว่าที่เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าไปทำการชันสูตรได้ ร่างทั้ง 2 ก็อยู่ในสภาพที่เริ่มย่อยสลายจนเกินกว่าที่จะตรวจสอบปริมาณสารพิษในร่างกายได้แล้ว สภาพศพก็ไม่ได้แสดงถึงอาการบาดเจ็บใดๆ จึงไม่สามารถระบุถึงสาเหตุการตายของชายทั้ง 2 คนได้ บางคนเชื่อว่าชายทั้ง 2 ถูกลวงมายังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดห่างไหลโดยบุคคลที่สามแล้วถูกฆาตรกรรม บางคนเชื่อว่าเขาทั้ง 2 คือผู้เดินทางข้ามผ่านเวลามา แล้วหน้ากากตะกั่วและโค้ทกันฝันก็เป็นของที่จะถูกใช้ระหว่างการเดินทางข้ามเวลานั้นๆ ส่วนทฤษฎีที่เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือ พวกเขาเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ยานต่างดาวหรือ UFO และกำลังออกตามหายานต่างดาวอยู่ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมพวกเขาถึงเสียชีวิต
น่าแปลกที่อาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย ผลงานของสถาปนิกชื่อดัง Oscar Niemeyer ซึ่งมีรูปร่างคล้ายยานต่างดาว (ดังภาพ) ก็สร้างขึ้นเสร็จที่เมืองรีโอฯในปีเดียวกันนั้น ราวกับว่า นี่แหละคือสิ่งที่นายมานูเอลและมิเกลต่างก็เฝ้ารออยู่เมื่อตอนก่อนจะเสียชีวิต
ปริศนาเรือแมรี่เซเลสต์: เรื่องจริง
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 1872 ลูกเรือเ ดอี กราเซีย สัญชาติแคนาดาได้พบเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษ-อเมริกาชื่อ แมรี่เซเลสต์ ลอยลำอยู่ใกล้ๆกับหมู่เกาะอะซอเรส กลางมหาสมุทรแอตแลนติก โดยไม่มีลูกเรืออยู่บนเรือเลยซักคนเดียว ทั้งๆที่สภาพอากาศก็ปกติดี และตัวเรือก็สามารถใช้เดินทางได้แถมยังมีเสบียงอาหารและน้ำที่จะใช้ไปได้นานถึง 6 เดือน สินค้าที่บรรทุกมาก็ไม่ได้สูญหาย แม้แต่ของมีค่าของลูกเรือก็ยังคงอยู่ดีไม่มีใครแตะต้อง แต่เป็นลูกเรือทั้งหมด 7 คนที่หายตัวไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาซะเลย
ตัดทฤษฎีเรื่องที่ว่าเอลี่ยนลักพาตัว, สัตว์ประหลาดยักษ์กลางทะเล, สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา, โจรสลัด, การกบฎบนเรือทิ้งไปได้ เพราะสาเหตุที่น่าจะอธิบายการหายตัวไปของ กัปตันบริกส์ (คนซ้าย), ลูกสาววัย 2 ขวบ โซเฟีย (คนกลาง), ภรรยา ซาราห์ (คนขวา) และลูกเรืออีก 4 คนน่าจะเกิดมาจากสินค้าที่พวกเขบรรทุกมาบนเรือนั่นเอง จากแอลกอฮอล์ทั้งหมด 1,071 ถัง มีการพบว่า 9 ถังในนั้นว่างเปล่า เลยเชื่อกันว่าแอลกอฮอล์ในนั้นเกิดระเหยออกมาทำให้กัปตันและลูกเรือเกิดความหวาดกลัวว่าเรือทั้งลำจะระเบิด ลูกเรือทั้งหมดจึงหนีไปลงเรือชูชีพและไม่เคยได้กลับไปถึงฝั่งอีกเลย
ปริศนาเรือเหาะเล็ก L-8 ตก: เรื่องจริง
ระหว่างการออกบินลาดตระเวนตามปกติในเช้าของวันที่ 16 สิงหาคม 1942 เรือเหาะเล็ก L-8 ของกองทัพเรือสหรัฐฯได้ลอยลำออกนอกเส้นทางลาดตระเวนเหนือมหาสมุทรแปซิฟิคเข้าสู่แผ่นดิน ก่อนจะไปตกที่ในเดลีซิตี แคลิฟอร์เนีย บานประตูเรือถูกเปิด และกลอนนิรภัยที่ทำหน้าที่ปิดล็อคทางเข้าออกกลับหลุดเสียหาย ร้อยโทเออร์เนสต์ เดวิทท์ โคดี และนายธง ชาร์ลส์ เอลลิส อดัมส์ 2 ลูกเรือมากประสบการณ์กลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรือเหาะลำดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็น “เรือเหาะผี” หลังจากหายสาบสูญไปนานหลายปี ทางการก็ประกาศให้ลูกเรือทั้ง 2 คนถือว่าเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
มีการคาดเดาต่างๆนานาถึงสาเหตุของปริศนาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเอเลี่ยนลักพาตัว หรือแผนการปกปิดของรัฐบาล แต่ก็มีคำอธิบายหนึงที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดและก็น่าเศร้าที่สุดว่า ลูกเรือคนหนึ่งอาจจะพลัดตกขณะพยายามซ่อมภายนอกตัวเรือเหาะ และพอลูกเรือคนหนึ่งพลัดตกไปแล้ว ก็เกิดทำให้เรือเหาะเสียสมดุลย์อย่างกะทันหันจนพลิกหมุนกลางอากาศ ทำให้ลูกเรือคนที่เหลือพลัดตกตามลงไปจากประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้
ปริศนานายเบนจาแมน ไคลย์: เรื่องจริง
ชายที่รู้จักกันในชื่อของ เบนจาแมน ไคลย์ ถูกพบเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2004 ที่หลังร้านเบอร์เกอร์คิงในจอร์เจีย สหรัฐฯ โดยที่เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า, ไม่มีบัตรประชาชน และไม่มีความทรงจำใดๆหลงเหลืออยู่ แพทย์ตรวจพบว่าเขามีอาการความจำเสื่อม แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้ง FBI จะร่วมเข้าช่วยเหลือเพื่อตามหาญาติและตัวตนที่แท้จริงของเขา ก็กลับล้มเหลว ตอนนี้ ไคลย์ เลยเป็นพลเมืองชาวอเมริกันเพียงคนเดียวที่ถูกระบุว่าหายสาบสูญ แม้ทุกคนจะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังพักอาศัยอยู่ที่ไหน เขาเอาชื่อ เบนจาแมน ไคลย์ มาจากอักษรย่อของร้าน เบอร์เกอร์คิง (B.K.) เขาใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเลขประจำตัว เลยไม่สามารถเข้าทำงานหรือแม้แต่ขอใช้บริการในสถานพักพิงของคนเร่ร่อนได้
แตกต่างจากปริศนาเรื่องอื่นตรงที่ว่า เรื่องราวของเบนจาแมน ไคลย์ยังมีความเป็นไปได้ที่จะจบลงอย่างสวยงาม ตอนนี้ ไคลย์ มีเพื่อนผู้หวังดีมากมายที่ช่วยกันตามหาว่าเขาเป็นใคร หนึ่งในนั้นคือ ศิลปินชื่อดัง มิเกล เอนดารา (คนซ้าย) ที่ขายผลงานภาพวาดรูปไคลย์เพื่อนำรายได้มาช่วยในการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขา ภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘Finding Benjaman’ ผลงานของ จอห์น วิคสตรอม ได้รับการนำไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ฯลฯ รวมทั้งมีการเปิดเว็บไซต์ findingbenjaman.com สำหรับภารกิจนี้โดยเฉพาะ
ปริศนาเจ้าสาวศพสวย: เรื่องจริง
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1930 มีหุ่นโชว์เสื้อชุดเจ้าสาวที่เหมือนจริงแบบสุดๆปรากฏขึ้นที่ในร้านค้าที่ชิฮวาฮวา เม็กซิโก ซึ่งความเหมือนจริงดังกล่าวทำให้เป็นที่กล่าวขานกันทั่วทั้งหมู่ชาวเมืองทันที มีการเทียบใบหน้าของหุ่นว่าคล้ายคลึงกับใบหน้าของ Pascuala Esparz เจ้าของร้าน แล้วข่าวลือก็ลุกลามกันไปต่อว่าอันที่จริงแล้ว หุ่นโชว์เสื้อดังกล่าวเป็นศพของลูกสาวเจ้าของร้าน ผู้ซึ่งเสียชีวิตในงานแต่งงานของตัวเองเนื่องจากถูกแมงมุมแม่หม้ายดำกัดเมื่อก่อนหน้านั้นไม่นาน และได้ผ่านกระบวนการรักษาสภาพเป็นอย่างดี ทุกวันนี้ผู้คนมากมายจากทั่วโลกก็ยังคงเดินทางมีที่นี่เพื่อชม ‘La Pascualita’ หุ่นเจ้าสาวที่มีรายละเอียดเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นแค่หุ่น
จากรูปนี้แล้วคุณคิดว่าเป็นหุ่นหรือเปล่า? เพราะเราคิดว่านี่คือหุ่นจริงๆไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น การรักษาสภาพศพไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ แม้จะรักษาสภาพได้ดีแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีอะไรที่เปื้อนซึมออกมาบ้างเสมอๆ ทำให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะจับเอามาสวมชุดสีขาวตลอดเวลาเช่นนี้ เราเลยมองว่าน่าจะเป็นแค่ตำนานหนึ่งที่ผู้คนในเมืองบอกต่อๆกันมา และพวกเขาก็ปล่อยให้เชื่อกันเช่นนั้นเพราะกลายเป็นเรื่องบันเทิงไปแล้ว