เรื่องเล่าในอดีต กว่าจะเป็นขันทีจีน
กว่าจะเจื่๋อน... #กว่าจะเป็นขันที#
***********************************************
หากจะสืบย้อนกลับไปว่า #ขันที# เกิดขึ้นในสมัยไหน อาจจะต้องย้อนเวลาไปเป็น 2000 ปีกันเลยทีเดียว
ขันทีนั้นไม่ได้มีเฉพาะประเทศจีน ในแถบยุโรบก็มีขันที ประเทศอื่นๆก็มีขันทีเช่นกัน แต่ที่จะนำเสนอในวันนี้ คือขันทีจีน ขันทีนั้นอยู่ในพระราชวังฝ่ายใน มีชีวิตที่ดีกว่าตอนอยู่นอกรั้ววัง ขันทีนั้นอยู่ในพระราชวังฝ่ายใน มีชีวิตที่ดีกว่าตอนอยู่นอกรั้ววังใครจะรู้ก่อนจะมายืนอยู่จุดนั้น เขาเจออไรมาบ้าง
คนสมัยจีนโบราณนั้นเกิดมาต้องวัดดวงกันว่าจะเกิดมาในครอบครัวแบบใด หากเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยก็สบายเสวยสุขไป หากเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางก็พอถูๆไถๆชีวิตไปได้ แต่หากเกิดมาในครอบครัวยากจนข้นแค้นแล้วละก็…. “ชีวิตเหมือนฟ้าแกล้งชัดๆ”
ความลำบากในสมัยก่อนนั้นคือความยากลำบากที่ลำบากจริงๆ ไม่มีที่นา ไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีทุนตั้งตัวต้องรับจ้างใช้แรงงานเป็นเรื่องที่ยากๆเอามากๆที่จะเลื่อนสถานะทางสังคมของตัวเองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้
แต่จะว่าไป…. การเลื่อนสถานะตัวเองให้สูงขึ้นแบบทางลัดก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่การได้มานั้น มันก็ต้องยอมแลกกับของรักของหวง ซึ่งวิธีนั้นก็คือ การเป็นขันที ……..หากจะย้อนเวลากลับไปตามหาต้นฉบับของขันทีนั้น ต้องย้อนไปสมัยโบราณบางยุคบางสมัยของจีนเลย เรื่องมีอยู่ว่า........
มีแคว้นแดนหนึ่งไปรบกับแคว้นหนึ่งชนะก็จะจับเชลย (ผู้ชาย) อีกฝ่ายมาขังไว้ จากนั้นก็จะเอาบรรดาชายเหล่านั้นมาเจื๋อนกระจู๋ให้ไม่สามารถมีอะไรกับผู้หญิงได้ แล้วส่งตัวเข้าไปรับใช้ในพระราชวังฝ่ายใน(ส่วนที่มีแต่ผู้หญิงของพระราชา) เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฝ่ายในทำไม่ได้ นอกจากอาศัยแรงพละกำลังของผู้ชาย ครั้นจะส่งผู้ชายเข้าไปอยู่ในฝ่ายในก็อันตรายมากที่จะลอบเป็นชู้กับสาวๆของพระราชา
การเจื๋อนของรักของชายเหล่านั้นทิ้ง จึงเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เมื่อเวลาผ่านไป การเป็นขันทีนั้น
ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการบังคับอีกต่อไป แต่เกิดจากความสมัครใจ แต่ส่วนใหญ่เลยที่ยอมทำอย่างนั้น เพราะต้องการหนีจากความยากจน หรือพ่อแม่ที่ขายลูกตัวเองเป็นขันที เพราะลูกก็ได้สบาย ส่วนตัวเองก็จะได้มีเงินไปหมุน….สมัยนี้ก็ยังมีนะไอ้เรื่องขายลูกหมุนเงินเนี่ย…หรืออาจจะกล่าวได้เป็นการเลื่อนสถานะทางสังคมของตนเองด้วยทางลัด
ที่นี่เข้าเรื่องเลยดีกว่า หลายคนสงสัยว่าทำไมเขาถึงกล้าให้คนอื่นตอนจู๋ตัวเอง ให้คนอื่นตอนจู๋ให้ยังน้อยไปเพราะยังเป็นมนุษย์ด้วยกันตอนให้ แต่สมัยแรกๆหนะเหรอ จะใช้อุจจาระทาที่อวัยวะเพศชาย แล้วให้หมากัดจนขาด ห่ะ …. อื้ม ใช่เรื่อง ….จริงต่อมาในพระราชวังจึงมีหน่วยบริการตอนจู๋ สำหรับผู้ที่ทำใจได้และต้องการจะเป็นขันที การตอนก็จะมีความนิ่มนวลและทำออกมาได้สวยงามมากขึ้น และถูกสุขลักษณะ แต่ต่อมาจำนวนผู้ต้องการที่จะหนีความยากจนมาเป็นขันทีนั้นเพิ่มมากขึ้นๆเรื่อยๆ หน่วยบริการตอนของพระราชวังไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไป จึงออกกฏว่า หากจะเป็นขันทีต้องตอนเอง จะด้วยวิธีใดก็ตาม
สำหรับหมอผู้ตอนนั้นจะสืบทอดวิชาการตอนรุ่นต่อรุ่นเท่านั้น จะไม่ส่งต่อให้บุคคลนอกสายเลือดเด็ดขาด และตัวหมอเองก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาการตอนสืบทอดกันต่อมารุ่นต่อรุ่นเช่นกัน ส่วนใหญ่อาจารย์ผู้ตอนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับนักพรตในลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจมาแล้ว ผู้ที่ต้องการตอนเป็นขันทีต้องปฏิญานตนเข้าเป็นศิษย์ก่อนการตอนทุกครั้ง จากนั้นจะนับถืออาจารย์ผู้นั้นเสมือนพ่อคนหนึ่ง ดังสุภาษิตจีนที่กล่าวไว้เกี่ยวกับพิธีนี้ว่า หนึ่งวันเป็นอาจารย์ หลังจากนั้นเป็นพ่อลูกกันตลอดไป
ก่อนทำการตอนจริงๆจัง ผู้ที่จะถูกตอนต้องลงนามในหนังสือรับรองการให้ตอน แล้วจากนั้นต้องให้พ่อแม่พี่น้องลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองว่าหากตอนแล้วตายจะไม่ฟ้องร้อง (แหม..รัดกุมมากๆเลยนะ) นอกจากในหนังสือรับรองจะเขียนเพื่อป้องกันการฟ้องร้องแล้ว
ยังมีข้อกำหนดอื่นๆอีกๆเช่น
– การตอนให้ก็เหมือนการที่พ่อแม่ลงทุนให้กับบุตร หากในอนาคตได้เป็นขันทีใหญ่มีหน้ามีตา ต้องช่วยกลับมาคืนบุญคุณผู้ที่ตอนให้ด้วย เพราะก่อนจะเป็นขันที ก่อนจะตอน คนถูกตอนมาด้วยความยากจนข้นแค้น ไม่มีเงินจ่าย แต่ผู้ตอนก็ทำให้และหวังค่าตอบแทนหลังจากที่ได้เป็นขันทีแล้ว
#มาเข้าสู่วิธีการเจื๋อนและความทรมานอันแสนสาหัสหลังตอน#
ก่อนที่จะตอน หมอจะทำการต้มยาชาที่มีกลิ่นเหม็นมากๆ เหม็นแบบทั่วบริเวณบ้านใกล้เรือนเคียงกันเลยทีเดียว แต่คนต้มก็จะใส่ไข่ไก่ลงไป 2 ฟองเพื่อลดดีกรีความเหม็นลงมา หลังจากนั้นก็รอจนไข่ไก่ที่ใส่ลงไปสุกจนแข็งถึงจะถือว่าใช้ได้
จากนั้นอาจารย์ก็จะเอายาชาต้มเสร็จชามใหญ่ที่ส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงให้กับชายที่จะถูกตอนดื่ม ก่อนที่จะดื่มตามด้วยเลือดหมูสดๆอีก 2 ชาม หลังจากดื่มเสร็จ ชายที่กำลังจะขึ้นเขียงก็รู้สึกมึน ตาลาย ร่างกายชาไปทั้งตัว กล้ามเนื้อตามร่างกายกะตุกระรัวตลอดเวลา
ตอนนี้เองขาของชาย (ผู้เลือกทางเดินตนเองแล้ว) จะถูกง้างออก เอวจะถูกตรึงไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา จนไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว จากนั้นแววตาของชายผู้ที่กำลังจะถูกตอนก็จะพร่ามัวไม่ได้สติ ร่างกายสั่นเครือ เย็นและชาไปทั้งตัว ตอนนี้นี่เองอาจารย์ผู้ตอนก็จะลงมีด (หึย...)
การลงมีดของหมอนั้น เริ่มต้นด้วยการเจาะผิวหนังบริเวณลูกอัณฑะให้เป็นช่อง แล้วทำการคว้านลูกอัณฑะสดๆ ออกจากผิวหนังที่หุ้มอยู่ (นาทีนี้บอกเลยตายทั้งเป็น) ในระหว่างที่ผู้ถูกผ่ากรีดร้องอ้าปากโหยหวนเพราะความเจ็บปวดนั้น ผู้ช่วยหมอก็จะเอาไข่ไก่สดๆ เทไปในปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงดัง เพราะความเหนียวเป็นยางยืดของไก่จะไปเคลือบกล่องเสียงไม่ให้เปล่งเสียงได้
(นี่ก็ทรมาน…คนเราแค่สำลักน้ำก็จะแย่อยู่ละ) เมื่อควักอัณฑะออกจากช่องนั้นแล้ว หมอก็จะทำการตัดที่ตัวอวัยวะเพศออกมาทั้งดุ้น และเหลือให้เป็นช่องเล็กๆสำหรับไว้ปล่อยปัสสาวะเท่านั้น นาทีไม่ต้องบรรยายก็รู้ว่า ความเจ็บปวดมันจะเป็นอย่างไร ยาชาสมัยก่อนแม้จะมีสรรพคุณแค่ไหน ก็คงไม่แรงเท่ายาชาสมัยนี้
การเป็นขันทีนั้นช่างแสนยากลำบากและน่าสงสารมาก ระหว่างถูกตอนมือกับขาถูกมัดไว้แน่น เหมือนหมูที่อยู่ในโรงเชือดอย่างไงอย่างงั้น หากมือหมอนั้นมีเชื้อโรคเพียงนิดเดียว ก็อาจจะติดเชื้อและอักเสบจนถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว ดังนั้นก่อนผ่านตัดหมอผู้ผ่าจะต้องทำร่างกายให้สะอาดอย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ความทรมานยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากผ่าเสร็จผ่านไป 1 วัน ผู้ถูกตอนจะไม่สามารถทานอะไรได้เลย และที่แย่กว่านั้นคือไม่ว่าจะปวดปัสสาวะหรืออุจาระก็ไม่สามารถปลดปล่อยได้ อุจารระ1 วัน 2 วันยังพอไหวสำหรับบางคน แต่ปัสสาวะนี่สิใครจะทนไหว เมื่อปวดมีแต่ยิ่งปวดเพิ่มขึ้นไปอีก วิธีที่จะบรรเทาคือการยัดเมล็ดข้าวโพดแห้งที่ใช้กรรไกรแต่งผิวให้เรียบ แล้วยัดเข้าไปทีละเมล็ดๆเพื่อที่จะให้ซับของเหลวที่อยู่ในช่องทางเดินปัสสาวะทีเพิ่งเจื๋อนเสร็จและเป็นแผลสดๆ คนที่ทนไม่ไหวก็ดันเมล็ดเหล่านั้นออกมาทางเดิม ช่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหนือคำจะบรรยาย หากไม่ทำเช่นนี้แล้วปล่อยให้ปัสาวะราดออกมาทางปากแผลที่สดๆ ยิ่งจะทรมานกว่านี้หลายเท่านัก แล้วปากแผลจะกว้างขึ้นไปอีก (เห้อ... ปลง)
หลังจากผ่านไปสักพัก หมอผู้ผ่าก็จะนำเลือดหมูมาทาจนทั่วบริเวณแผลสด เพื่อประสานแผลไม่ให้บวม ช่วงเวลานี้ส่วนหนึ่งพึ่งโชคชะตาให้ผ่านไปได้ เพราะความเจ็บมันทรมานมันอยู่ที่แผลตลอดเวลา
เมื่อผ่านมาได้วันที่ 2 หากอาการดีขึ้นอาหารมือแรกที่จะมาเสริฟถึงที่เลยคือโจ๊กเละๆ เพราะว่าเป็นอาหารชนิดเดียวที่จะกินได้ ส่วนด้านล่างเตียงนอนก็เป็นกระโถนรองของเสียจากการขับถ่ายวางไว้
พอเข้าวันที่ 3 จะสามารถลงจากเตียงได้ เพราะปากแผลเริ่มประสานกันแล้ว แต่ตอนนี้ อาจจะมีความเจ็บแบบมากๆมาเป็นระลอกๆ โดยเฉพาะบริเวณต้นขา กล้ามเนื้อจะกระตุกตลอดเวลา กระดูกก็เหมือนงองุ้มไป
จากนั้นอาการก็จะดีขึ้น เริ่มใช้ช่องที่เว้นไว้ปัสสาวะได้ เดินไปไหนมาได้ ต่อไปก็คงเหลือแค่การทำใจกับการหายไปของอวันบางชิ้นส่วน เนื่องจากว่าขันทีนั้นถูกล้วงอัณฑะออกไปด้วย จึงทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดน้อยลง หนวดเคราเริ่มไม่มี น้ำเสียงเริ่มแหลมเหมือนผู้หญิง ฮอร์โมนเพศหญิงเริ่มมีมากขึ้น บางคนก็ตุ้งติ้งไปเลยเมื่อไม่มีฮอร์โมนเพศชาย ขันทีก็จะไม่มีหนวดเคราเหมือนผู้ชาย เมื่อไม่มีฮอร์โมนเพศชาย ขันทีก็จะไม่มีหนวดเคราเหมือนผู้ชาย
แต่ในหน้าประวัติศาสตร์จีน ก็มีหลายคนที่ตอนไม่หมด หรือยังเหลืออัณฑะ ก็ยังมีความรู้สึกแบบผู้ชายอยู่ และมักจะลักลอบได้เสียกับนางใน ที่ไม่ได้เคยได้ต้องมือชาย หรือ พระราชาไม่ทรงโปรดแล้ว…
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะนึกภาพตามและสยองพองเกล้า แต่ต้องทำความเข้าใจครับ ว่านั่นคือวิถีของคนโบราณ ซึ่งสมัยนั้นสภาพความเป็นอยู่แร้นแค้น ไม่มีทางเลือกอย่างทุกวันนี้ การเจ็บเพียงครั้งเดียว แล้วสบายตลอดชีวิตจึงเห็นจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับบางคน แม้จะโดนเฉือนเจ้าโลก ไม่สามารถมีลูกไว้สืบทอดวงศ์ตระกูล แต่ได้ตอบแทนบุพการีที่เลี้ยงดูมาในชาตินี้ให้สบาย และตัวเองก็ไม่ต้องลำบาก ถือว่าเป็นการที่คุ้มก็ได้สำหรับบางคน …….
ภาพขันทีผู้หนึ่งในวังหลวง
ซุนเหย้าถิง ขันทีคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิ
ในสมัยหมิงและชิง ( ค.ศ. 1644-1911 ) สองราชวงศ์สุดท้ายของจีน กลับมีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อย สมัครใจเข้าเป็นขันที ส่วนมากมีสาเหตุมาจากความยากจน โดยขันทีคนสุดท้ายของจีน คือ ซุนเหย้าถิง เขาเกิดในรัชสมัยของจักรพรรดิกวางสู่ (ค.ศ. 1875 - 1908) แห่งราชวงศ์ชิง
ขันทีคนสุดท้ายของจีน เกิดในรัชสมัยของจักรพรรดิกวางสู่ ( ค.ศ.1875-1908) แห่งราชวงศ์ชิง ในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น วันหนึ่งพ่อและพี่ชายถูกเจ้าที่ดินกลั่นแกล้ง
ใส่ร้ายป้ายสี จนต้องเข้าคุก คนในบ้านทั้งหมดต้องหนีภัยไปอยู่ต่างถิ่น
เมื่อหมดสิ้นหนทาง ซุนเหย้าถิง จึงตัดสินใจเข้าวังเป็นขันที โดยหวังว่าสักวันจะต้องล้างแค้นคนที่ทำร้ายครอบครัวตนให้ได้
ในทศวรรษที่ 60 นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้เชิญขันที 15 คน มาพูดคุยเรื่องราวในชีวิต ของพวกเขาให้ฟังเริ่นฝูเถียน บอกว่า ในยุคนั้นหลายอำเภอของมณฑลเหอเป่ย มณฑลซันตง หรือแม้แต่แถบชานเมืองปักกิ่ง เช่น ชางผิง ผิงกู่ ล้วนแต่เป็นถิ่นกำเนิด ของไท่เจี้ยน การเข้าวังเป็นขันทีหรือไท่เจี้ยน เป็นหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตอยู่รอด
หม่าเต๋อชิง เล่าว่า ครอบครัวฐานะยากจนมาก อดมื้อกินมื้อ พ่อเป็นพ่อค้าขายกอเอี๊ยะ เมื่อเห็นว่า หลี่อี้ว์ถิง ญาติห่างๆคนหนึ่งของตน'ได้ดิบได้ดี' หลังจากเข้าวังเป็นขันทีได้เพียงไม่นาน พ่อก็เกิดความคิดอยากให้หม่าเดินตามรอยหลี่อี้ว์ถิง บ้างและในที่สุด พ่อแม่ของหม่าก็ตัดใจส่งลูกชายเข้าวัง
แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่หลายคนตัดใจให้ลูกชายเป็นขันที ฉือห้วนชิง อธิบายว่าเป็นเพราะเชื่อคำของพวกมีอาชีพคล้ายนายหน้าหาคนเป็นขันที ตลอดจนหน้าที่ที่เรียกกันว่า 'การชำระร่างกาย' ซึ่งก็หมายถึง 'การตัดอวัยวะเพศ' นั่นเอง
คนเหล่านี้จะพูดถึงแต่ข้อดีของการเป็นขันทีหรือไท่เจี้ยนจนเกินจริง ในที่นี้ไม่นับพวกที่ตั้งใจมาเป็นขันที เพื่อหลบหนีโทษทัณฑ์ต่างๆกว่าจะได้เป็นขันที ต้องมีขั้นตอนพอสมควร ตามบันทึก "เฉินหยวนจ๋าซื่อ"
ก่อนอื่น ต้องมีขันทีชั้นผู้ใหญ่ให้การรับรอง โดยมี หนังสือยินยอมการตัด พร้อมลายเซ็นของผู้ที่จะเข้ามาเป็นไท่เจี้ยน เป็นหลักฐานยืนยัน แต่แน่นอนว่า มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการการตัดสินใจดังกล่าว ที่สุดแล้ว ขันที ก็ถึงคราวอวสานไปพร้อมๆกับการล่มสลายของราชวงศ์จีน
เรื่องราวดังกล่าวถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ "ขันทีคนสุดท้าย" ถูกจัดพิมพ์และแปลเป็นหลายภาษาทั่วโลก โดยหนังสือ เล่าถึงอัตชีวประวัติของท่านผู้เฒ่า"ซุนเหย้าถิง" ขันทีแห่งราชสำนักจีนคนสุดท้ายของโลก
นอกจากนี้ ยังมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อว่า ขันทีคนสุดท้าย ซึ่งตัวหนังบอกเล่าและแสดงอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง สะเทือนอารมณ์จนได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชม
นักโบราณคดีค้นพบว่าจากบริเวณศีรษะของ..คนตายสมัยโบราณ ที่มักมีเครื่องป้องกันอยู่ บริเวณ องคชาต ก็เป็นอีกตำแหน่งหนึ่งที่ได้รับ การปกปิดเป็นพิเศษ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าชาวจีนให้ความสำคัญ ต่อการสืบทอดวงศ์ตระกูลมากเพียงใด
อันเต๋อไห่ และ หลี่เหลียงอิง ขันทีคู่พระทัย พระนางซูสีไทเฮา