4 ยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีน
1. ไซซี
ไซซี รับบทโดย กัวเซี่ยนหนี (2006)
ไซซีหรือ ซีซือ หญิงสาวผู้มีความงดงามจนได้รับฉายาว่า “มัจฉาจมวารี” หรือ ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ โดยในนิทานพื้นบ้านนั้นได้เล่าถึงที่มาไว้ว่า ยามที่แม่นางไซซีไปฟอกด้ายยังริมลำธาร เมื่อเหล่าปลาในลำธารได้เห็นรูปโฉมของนาง ต่างก็ถึงกับตะลึงในความงาม จนทำให้เหล่าฝูงปลาต่างจมลงไปในน้ำโดยไม่รู้ตัว บางตัวก็ถึงกับหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้สายน้ำพัดไปจนชนกับโขดหิน
ไซซี มีชื่อเดิมคือ อี๋กวง เกิดในสมัยชุนซิว หรือช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล (722-481 ก่อนคริสตกาล) เธอกลายมาเป็นหนึ่งในหมากเกมการเมืองและการทำสงครามระหว่างรัฐเยว่และรัฐอู่ในสมัยนั้น ด้วยความงามอันเลื่องลือของนาง ทำให้นางถูกส่งตัวไปให้แก่อู่อ๋อง เจ้าเมืองรัฐอู่ เพื่อเป็นสายคอยส่งข่าวภายในให้กับรัฐเยว่ตามแผนกู้ชาติ 3 ประการหลังจากพ่ายสงครามของเยว่อ๋องโกวเจี้ยนและอัครเสนาบดีฟ่านหลี่ เมื่ออู่อ๋องเห็นไซซี ก็เกิดความลุ่มหลงในเสน่ห์และรูปโฉมเป็นอย่างมากจนละเลยการปกครอง ไม่สนใจบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลง เปิดโอกาสให้เยว่อ๋องโกวเจี้ยนเข้าโจมตีและกู้ชาติได้สำเร็จนั่นเอง
2. หวังเจาจวิน
หวังเจาจวิน มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เธอเป็นนางในราชสำนักของ ฮั่นหย่วนตี้ พระโอรสของ ฮันซวนตี้ ผู้มีรูปโฉมงดงามและมีความรู้เป็นอย่างดี ในครานั้นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างราชวงศ์ฮั่นกับเผ่าซงหนู ฮั่นหย่วนตี้ต้องคัดเลือกองค์หญิงหรือธิดาของเชื้อพระวงศ์ส่งไปเพื่อสมรสโดยประกาศว่า “ผู้ใดยินดีที่จะไปยังเผ่าซงหนู ฮ่องเต้ก็จะแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง” ซึ่งนางในหวังเฉียง ผู้มีฉายา เจาจวิน ก็ยินยอมจะแต่งงานกับข่านฮูหานหยาแห่งเผ่าซงหนูนั่นเอง ซึ่งความงามของนางนั้นทั้งหยดย้อยและด้วยกิริยาที่สุภาพเรียบร้อย ทำให้แม้แต่ฮั่นหยวนตี้เมื่อได้ยลโฉมก็เคลิบเคลิ้ม และทรงพิโรธที่ก่อนหน้านี้ชมภาพวาดของนางหวังเฉียงยามเมื่อเข้าวังหลวงช่วงแรกแล้วไม่เห็นในความงดงามดังเช่นตัวจริง จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตจิตรกรผู้นั้นเสีย (จิตรกรผู้นั้นเป็นผู้รับสินบนจากสนมทั้งหลาย เพื่อให้วาดภาพที่สวยที่สุดส่งให้ฮ่องเต้ชม ซึ่งหวังเฉียงไม่ยอมติดสินบน)
สำหรับที่มาของฉายา “ปักษีตกนภา” นั้นมาจากตอนที่หวังเจาจวินเดินทางออกนอกด่านไปสมรสกับข่านฮูหานเสียที่เผ่าซงหนู เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีและบรรเทาสงครามที่กำลังเกิดขึ้นทุกสารทิศ ในวันนั้น หวังเจาจวินเดินทางจากบ้านเกิดไปทางเหนือ ระหว่างทางเสียงม้าและเสียงนกร้องทำให้นางโศกเศร้า ยากจะทำใจได้ นางจึงดีดพิณขึ้นเป็นทำนองแสดงความเศร้าแห่งการพลัดพราก ซึ่งเสียงพิณนั้นทำให้บรรดานกที่กำลังบินไปทางใต้ต่างตกอยู่ในมนต์สะกดและมองลงมาเห็นสาวงามกำลังขี่อยู่บนหลังม้า บรรดานกทั้งหลายต่างก็ลืมขยับปีกและร่วงหล่นลงพื้นดินทั้งหมด
3. เตียวเสี้ยน
เตียวเสี้ยน หรือ เตียวฉาน นางระบำของขุนนางอ๋องอุ้นในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ยุคสามก๊ก) นางมีรูปโฉมที่งดงามเป็นอย่างยิ่งและมีความสามารถในการฟ้อนรำเป็นเลิศ เมื่อนางเห็นราชวงศ์ฮั่นตะวันออกกำลังตกอยู่ใต้อำนาจของขุนนางทรราชตั๋งโต๊ะ พร้อมกับเห็นอ๋องอุ้นกลุ้มใจในการปกครองอันไม่เป็นธรรมนี้ นางจึงจึดธุปอธิษฐานต่อสวรรค์ยินดีที่จะรับภาระช่วยเหลือผู้เป็นนายในคืนพระจันทร์สว่างสดใส อ๋องอุ้นผ่านมาได้ยินเข้าก็ซาบซึ้งใจและตรงไปพยุงนางขึ้น พร้อมกับรับนางเป็นธิดาบุญธรรม และให้ฉายา “จันทร์โฉมหลบสุดา” เพื่ออธิบายถึงความงามของนาง ขนาดที่ว่าดวงจันทร์ที่ว่างามแล้วยังต้องหลบเข้าไปซ่อนหลังหมู่เมฆนั่นเอง
เตียวเสี้ยนก็เป็นหนึ่งในหมากของเกมการเมืองเช่นกัน โดยอ๋องอุ้นยกเธอให้กับลิโป้อย่างลับๆ ก่อนที่จะค่อยยกนางให้กับตั๋งโต๊ะ ขุนนางทรราชที่กำลังยึดครองราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ด้วยความงามของเตียวเสี้ยนและอุบายของนาง ทำให้ทั้งคู่เกิดความเข้าใจผิดกันและทำให้อ๋องอุ้นสามารถกล่อมลิโป้ให้ฆ่าตั๋งโต๊ะได้สำเร็จนั่นเอง
4. หยางกุ้ยเฟย
หยางกุ้ยเฟย รับบทโดย ฟ่านปิงปิง
หยางกุ้ยเฟย หรือ หยางอี้หวน เธอมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 719 – 756 สมัยราชวงศ์ถัง เธอเป็นชาวเมืองหย่งเล่อ มีความสามารถด้านดนตรีขับร้องและฟ้อนรำเป็นอย่างมาก เธอถูกเลือกให้มาเป็นพระชายาของ โซ่วอ๋อง โอรสองค์ที่ 18 ในฮ่องเต้ถังเสวียนจง แต่แล้วฮ่องเต้ก็เกิดความคลั่งไคล้และหลงใหลในรูปโฉมที่งดงามเป็นอย่างมาก ด้วยความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อเธอ ทำให้หยางอี้หวนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสนมเอกหรือ กุ้ยเฟย ซึ่งในขณะนั้นเธอมีอายุ 27 ปี ทำให้บิดาและญาติของเธอต่างพลอยได้ยศฐาบรรดาศักด์ อำนาจวาสนาในแผ่นดินไปด้วย ด้วยความที่ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงกับนาง ทำให้ละเลยการปกครองว่าราชการ เป็นผลให้ หยางกั๋วจง ลูกพี่ลูกน้องของ หยางกุ้ยเฟย รวบอำนาจได้มากพร้อมกับกินสินบนอย่างเปิดเผย เกิดเป็นความเดือดร้อนไปทั่ว เป็นเหตุให้ อันลู่ชาน ก่อกบฏโดยนำทหารชายแดนและทิเบตเข้ายึดนครฉางอานได้อย่างง่ายดาย ทั้งฮ่องเต้และหยางกุ้ยเฟยจึงต้องลี้ภัยไปยังตอนใต้ของมณฑลซื้อชวน (เสฉวน) นั่นเอง
เมื่อ หยางกั๋วจง ถูกทหารรุมจับสังหาร ทหารทั้งหลายจึงทูลกับฮ่องเต้ให้กำจัดล้างโคตรตระกูลหยาง ผู้เป็นต้นเหตุให้เกิดกบฏและทำให้ราชวงศ์เสื่อมถอย ซึ่งนั่นรวมไปถึง หยางกุ้ยเฟย ด้วย แม้จะทรงโทมนัสในพระทัยเพียงใด สุดท้ายฮ่องเต้ก็สั่งให้ประหารชีวิต หยางกุ้ยเฟย โดยให้กาลี่ซื่อ เสนาบดีนำผ้าแพรขาวไปมอบให้นางเพื่อผูกคอตายใต้ต้นหลีในสวน สำหรับที่มาของฉายา “มวลผกาละอายนาง” มาจากครั้งที่ หยางกุ้ยเฟย ไปชมทุ่งดอกไม้ และด้วยกลิ่นหอมของร่างกายนางที่ฟุ้งออกมานั้น ทำให้เหล่ามวลดอกไม้ที่ปลูกรอบตัวนาง เมื่อได้เห็นรูปโฉมของนางก็ถึงกับตะลึงและหุบกลีบของตนเองโดยไม่รู้ตัว