ดร.โสภณ นำเสนอเรื่องการแก้จนเพื่อคนจน
ทุกวันนี้ คนที่กระเป๋าตุง ก็ตุงมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่กระเป๋าแฟบ ก็แฟบลงไปเรื่อยๆ เพราะการกระจายทรัพยากรไม่ดีพอ ถ้าประเทศมีความเป็นประชาธิปไตย มีการโกงน้อยลง ประชาชนจะผาสุกมากขึ้น
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2560 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ได้รับเชิญให้ไปร่วมนำเสนอความคิดเห็นในงาน เสวนาวิชาการ "ปากท้องประชาชน เงิน เงิน เงิน กระเป๋าใครตุง-แฟบ ???" ในเวลา 18:00 น. ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ต่อไปนี้เป็นบทนำเสนอของ ดร.โสภณ
ภาพลวงตาหนึ่งในขณะนี้ก็คือ มีการเข้าคิวยาวถึงขนาดไปจองคิวตั้งแต่ตี 3 เพื่อซื้อกระเป๋าราคานับแสนของยี่ห้อแบรนด์เนมชื่อดังในห้างสรรพสินค้าที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย (http://bit.ly/2tXGGcT) ปรากฏการณ์นี้ดูคล้ายประเทศไทยไม่ได้จน คนรวยมีมากมาย แต่ความจริงแล้ว คนที่ไปซื้อเป็นเพียงคนรวยหยิบมือหนึ่งเมื่อเทียบกับคนจนหรือสามัญชนทั่วประเทศ
ปรากฏการณ์ข้างต้นไม่อาจสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยรวยแต่อย่างไร ทุกวันนี้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ "รวยกระจุก จนกระจาย" กล่าวคือ คนรวยมีการกระจุกตัวเฉพาะกลุ่ม ส่วนคนจนและความจนกระจายทั่วไป คนจน จนลงเรื่อยๆ ส่วนคนรวย ก็รวยขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้สินค้าขายดีได้แก่ บ้านหรือห้องชุดราคาแพง รถหรูราคาแพง หรือล่าสุดก็คือกระเป๋าจากต่างประเทศที่มีราคาแสนแพง
ถ้ารัฐบาลอยากให้ประเทศมีการพัฒนา ประชาชนอยู่ดีกินดีกันจริง ๆ เราต้อง
- เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เช่น โครงการจำนำข้าวซึ่งประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะประชาชนในชนบทอันไพศาลได้รับประโยชน์ ส่วนการกล่าวหาเรื่องโกง ก็ไม่เคยปรากฏเงินโกงแบบที่จับได้กับพวกนายทหารใหญ่ๆ ที่เป็นคณะผู้ก่อการรัฐประหารในอดีตทั้งหลาย
- ลดค่าใช้จ่ายประชาชนของประชาชน เช่น ทุกวันนี้ การกู้เงินสถาบันการเงินต่าง ๆ มีดอกเบี้ยสูงถึง 7.5% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดินเพียง 1.5% ทำให้เกิดช่องว่างห่างกันถึง 5 เท่า ในขณะที่ในอาเซียน มีช่องว่างเพียง 1 เท่าเท่านั้น (http://bit.ly/2q5ZQg9)
- ควรให้การอุดหนุนประชาชน เช่น ส่งเสริมให้มีการรักษาพยาบาลฟรี ไม่ใช่ให้มีอภิสิทธิ์เฉพาะข้าราชการ เพื่อลดภาระของประชาชน
- ไม่ควรนำเงินไปซื้อสิ่งไม่จำเป็นหรือไม่เร่งด่วนต่อต่อประเทศชาติ เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ
การกระทำข้างต้น จะทำให้ประชาชนสามารถลืมตาอ้าปากได้ มีอิสรภาพทางการเงิน และตามมาด้วยความมีอิสรภาพทางความคิด ไม่ถูกจองจำด้วยความจำเป็นที่ต้อง "ปากกัดตีนถีบ" ทำมาหากินอย่างไม่มีอนาคตแต่อย่างใด อิสรภาพทางการเงิน เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้เรามีความเป็นตัวของตัวเองและเป็นการสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ถ้าประชาชนอ่อนแอ ต้อง "กินน้ำใต้ศอก" พวกข้าราชการ ก็ทำให้ประชาชนไม่มีอิสรภาพนั่นเอง ทุกวันนี้อาจมีบางคนไม่ต้องการให้ประชาชนมีอิสรภาพทางการเงิน เพื่อจะได้ขาดอิสรภาพทางความคิด เบื่อเมาประชาธิปไตย ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ จะได้อยู่สูบเลือดเราได้ตราบนานเท่านาน
ประเด็นสำคัญหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องภาษี ปกติคนเราไม่อยากเสียภาษีเพราะกลัวถูกนำไปโกงโดยนักการเมือง แต่ความจริงข้าราชการประจำอาจโกงมากกว่าด้วยซ้ำไป เราถูกเป่าหูเรื่องนี้จนไม่อยากเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นภาษีที่ดี ที่ทำให้ท้องถิ่นมีอิสรภาพทางการเงิน เราถูกลวงให้เข้าใจว่าเพื่อเห็นใจคนจนจึงต้องลดภาษีนี้
อันที่จริงไม่ควรมีการลดหย่อนภาษีใด ๆ เลย ดูในความเป็นจริง คนจน ๆ มีจักรยานยนต์เก่าๆ คันหนึ่งราคาประมาณ 30,000 บาท ก็ยังต้องเสียภาษีปีละ 400 บาทหรือมากกว่า 1% ถ้าคนจนมีห้องชุดราคา 300,000 บาท ก็ต้องเสียภาษี 0.1% ก็เป็นเงินเพียง 300 บาท หรือเดือนละ 25 บาท ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะเสียอีก การจัดเก็บภาษีถูกๆ จึงอาจไม่คุ้มค่าในการเก็บ
ที่รัฐบาลพยายามลดหย่อนการจัดเก็บภาษีโดยอ้างคนจนนั้น แท้จริง ก็เพื่อช่วยคนรวย เพราะถ้าคนจนต้องเสียภาษีถึง 1% เช่น มีห้องชุดราคา 300,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีปีละ 3,000 บาท หรือเดือนละ 250 บาท ซึ่งก็พอ ๆ กับการจ่ายค่าส่วนกลางเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่คนรวยที่มีทรัพย์ราคา 50,000,000 บาท หากต้องเสียภาษี 1% เป็นเงิน 500,000 บาท พวกเขาคงไม่ต้องการเสีย จึงทำให้ร่างกฎหมายกำมะลอฉบับนี้ออกมา แทบจะเหมือนไม่มีการเก็บภาษีใด ๆ เลย
ภาษีนี้ใช้ในท้องถิ่น การที่ท้องถิ่นจะมีเงินมากขึ้นในการบริหารท้องถิ่น ก็จะทำให้ท้องถิ่นมีอิสรภาพทางการเงินและทางการเมือง เป็นประชาธิปไตยที่แท้ ไม่ต้องถูกส่วนกลางครอบงำเช่นที่ผ่านมา ระบอบประชาธิปไตยก็จะได้รับการสถาปนาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับระบอบคณาธิปไตยจากส่วนกลาง การให้ประชาชนท้องถิ่นดูแลผลประโยชน์ของตนเอง จึงเป็นสิ่งที่ชอบแล้ว
โดยนัยนี้การขึ้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงอาจไม่เป็นจริง รัฐบาลจึงอาจใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นภาษี VAT เป็น 8% ในที่สุด ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ต่างจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เก็บเฉพาะผู้มีทรัพย์ และยิ่งมีทรัพย์มาก ภาระภาษีก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวอันเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในสังคมนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีภาษีนี้ ความเหลื่อมล้ำก็จะไม่สิ้นสุด
สังคมไม่ควรเปิดโอกาสให้คนรวยสามารถมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมจนเป็นการเอารับดเอาเปรียบประชาชนทั่วไป อันที่จริงต่อคนที่รวยๆ มากๆ ที่ดูเหมือนสามารถครอบงำประเทศไทยอยู่นี้ คนรวยยิ่งใหญ่เหล่านี้ไร้เกียรติและศักดิ์ศรี พวกนี้ทำได้ก็แค่โชว์ความรวย เป็นพวกนิยมวัตถุ ที่ว่าไร้เกียรติเพราะพวกเขาทำทุกอย่างได้ด้วยเส้นสาย ติดสินบน เอาตัวและญาติเข้าแลก ปล้นชิงทรัพยากรของประชาชนอย่างไม่อาย ภาษีก็พยายามหลีกเลี่ยงสุดชีวิต จะสังเกตได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไทยๆ เหล่านี้เวลาไปต่างประเทศมักจะเจ๊งกลับมาเพราะที่อื่นอาจไม่สามารถติดสินบนได้ พวกนี้จึงไร้เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคน
ในทางตรงกันข้ามคนจนหรือสามัญชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย มีเกียรติกว่ามาก แม้คนจนๆ จะไม่ค่อยพอกิน แต่คนจนที่ยังหวังทำดีเพื่อชาติและประชาชน โดยเสียสละเงิน เวลา กำลัง และปัญญาเพื่อส่วนรวม ล้วนเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง สามัญชนจึงควรได้ภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่โกง ไม่เอาเปรียบใครกิน รักความยุติธรรม และรักในหลักแห่งความเท่าเทียมกันตามระบอบประชาธิปไตย
ขอให้ประเทศชาติ ประชนชน และประชาธิปไตย จงเจริญ!