ที่มาของคำว่า "ชักว่าว" : เมื่อวัยรุ่นชายไปสนามหลวง
เมื่อฤดูหนาวผ่านไป ผ่านไปแถวสนามหลวงหรือตามท้องนาต่างจังหวัดก็ตาม คงได้เห็นว่าวหลากชนิดหลายสีสดใสรับลมสะบัดอยู่ท้าทายแนวเมฆและริ้วแดด เด็กผู้ชายเกือบทุกคนที่ผ่านวัยเด็กมาคงได้เคยเล่นกีฬาพื้นบ้านกันมาบ้างแล้ว และรู้ถึงความตื่นเต้นเมื่อได้ล้มลุกคลุกคลานไปพร้อมกับกระตุกสายป่านดึงว่าวให้ลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าในที่สุด ยิ่งลอยสูงขึ้นไปว่าวนั้นก็ยิ่ง"ติดลม"มากขึ้นจนไม่อยากจะดึงมันกลับลงมา แต่เมื่อหนุ่มน้อยเมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นช่วงประถมปลายหรือตอนขึ้นมัธยมนั่นแหละ หลายคนก็คงเริ่มรับรู้ความหมายของการการละเล่นชนิดนี้ในรูปแบบที่ต่างไปจากวัยเด็ก บางคนอาจหัวเราะหรือยิ้มเขินออกมาเมื่อพูดถึง ใช่แล้วครับ กีฬา"ชักว่าว"ได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งจนเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมประจำวันที่คู่กับผู้ชายวัยนี้จนแยกไม่ออกทีเดียว ในบรรดาวัยรุ่นชายที่รู้จักเรื่องนี้แล้วมักนำมาเล่าต่อกันในหมู่เพื่อนฝูงจนกลายเป็นประเด็นยอดฮิต(อย่างลับๆ)ไปเลย เพราะมันสื่อถึงกิจกรรมทางเพศอย่างหนึ่งที่มีอากัปกิริยาใช้มือกระตุกสายป่านว่าวจริงๆ หรือก็คือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (masturbation) นั่นเอง แต่หลายคนคงจะสงสัยว่าใครหนอที่เอาการละเล่นอย่างว่าวไปใช้แฝงกับเรื่องทะลึ่งแบบนี้ แถมใช้กันนิยมแพร่หลายอีกด้วย
จะว่าไปแล้วการเล่นว่าวก็มีการใช้เปรียบเปรยถึงเรื่องราวทางเพศมาก่อนในวรรณคดี เช่นที่ปรากฎในเรื่องพระอภัยมณีเป็นเรื่องราวในขณะที่นางผีเสื้อสมุทรลักพาพระอภัยมณีไปอยู่กินด้วยเป็นบทอัศจรรย์กล่าวว่า "พระฟังคำจำจิตต์พิศวาส ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง เกิดกุฬาคว้าว่าวปักเป้าติด กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง กุฬาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด กุฬาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง ปักเป้าแทงตะละทีไม่มีผิด จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด ประกบติดตกผางลงกลางดิน สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น เป็นวิไสยในภพธรณินทร์ ไม่สุดสิ้นสิ่งเสน่ห์ประเวณี ฯ" ซึ่งทั้งหมดเป็นการบรรยายถึงลีลาการเสพสังวาสระหว่างชายหญิงนั่นเอง ไม่แน่ว่าความคิดเกี่ยวกับการละเล่นว่าวดังกล่าวอาจส่งผลมาถึงผู้ชายในยุคต่อมาส่วนประเด็นที่ว่าเริ่มมีการเอาคำนี้มาใช้สำหรับกิจกรรมช่วยตัวเองของผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่และใครเป็นผู้ริเริ่ม นั้นอาจยากที่จะหาคำตอบ แต่จากหลักฐานที่พอหาได้พบว่าน่าจะแพร่หลายก็ในช่วงปี พ.ศ.2500-2510 นี่เอง เรื่องนี้คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ เคยเขียนเล่าไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม (ฉบับที่ 12 ปี 2537) ว่าในยุคดังกล่าวซึ่งผู้เขียนเริ่มเป็นวัยรุ่นนั้นคำว่าชักว่าวยังไม่ถูกใช้กัน โดยความทรงจำของผู้เขียนซึ่งมีพื้นเพอยู่จังหวัดสุพรรณบุรีตอนนั้นการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นประเด็นบอกเล่าต่อกันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องผู้ชายจะมีก็เรียกกันว่าการปั่น(อวัยวะเพศ)ซึ่งหมายถึงเซ็กส์เชิงหัตถกรรมในความหมายของผู้เขียนนั่นเอง จึงเป็นที่สังเกตว่าการชักว่าวคงจะไม่แพร่หลายจริงๆโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ทีนี้ถามว่าเริ่มเรียกมาจากไหนก็คงจะไม่พ้นกรุงเทพนี่เอง ถ้าพูดถึงการเล่นว่าวก็คงหนีไม่พ้นเล่นกันที่สนามหลวง การชักว่าวกับสนามหลวงก็เลยคู่กันมาตลอดไม่เว้นแม้ความหมายในเชิงทะลึ่งลามกนี้ เรื่องนี้อาจหาหลักฐานดูได้จากเอกสารเรื่องเพศที่เปิดเผยกันอย่างโจ๋งครึ่มในยุคแรกๆซึ่งเรียกกันว่าหนังสือปกขาวนั่นเอง
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องตลาดนัดสนามหลวง ณ ที่นี้เองซึ่งเป็นที่มาของตำนานการช่วยตัวเองของวัยรุ่นชายไทย ต้องเล่าประวัติศาสตร์สักนิดว่าก่อนจะมีการสร้างตลาดนัดจตุจักรนั้นบริเวณสนามหลวงเคยเป็นแหล่งที่พ่อค้าแม่ค้าหอบสินค้ามามาแผงขายกันมายาวนานแล้ว กระทั่งยุคปี พ.ศ.2501 ก็ได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นตลาดนัดอย่างเป็นทางการ และได้รับความนิยมจากประชาชนมาเดินจับจ่าย โดยจุดสนใจอย่างหนึ่งคือแผงหนังสือซึ่งมีอยู่ทุกประเภท และก็มีของต้องห้ามอย่างหนังสือโป๊ในยุคแรกวางจำหน่ายด้วยโดยเรียกกันว่าหนังสือปกขาวเนื่องจากเพื่อต้องการปกปิดเนื้อหาภายในที่ประกอบด้วยภาพวาบหวิวและเนื้อหาทางเพศที่ชวนกระสัน เหมาะสำหรับชายหนุ่มที่ต้องการสร้างจินตนาการบำบัดความใคร่ส่วนตัว วัยรุ่นชายในยุคนั้นจึงพากันเล่าลือถึงสนามหลวงในแง่ของการเป็นแหล่งหาวัตถุเพื่อระบายอารมณ์ทางเพศ และบังเอิญการละเล่นว่าวก็คล้ายและสื่อถึงกิจกรรมการสำเร็จความใคร่จึงไม่ยากที่จะนำมาผูกโยงกัน ดังนั้นเมื่อเด็กหนุ่มถามเพื่อนด้วยกันว่าไปสนามหลวงทำอะไรอีกฝ่ายก็จะทำหน้าทะเล้นและตอบกลับมาว่า"ไปชักว่าว"ซึ่งหมายถึงการไปหาหนังสือโป๊มาดูขณะทำกิจกรรมให้ตัวเองนั่นเอง เรื่องนี้ปรากฎอย่างชัดเจนในเนื้อหาของหนังสือปกขาวหลายๆเล่มในขณะนั้น(หากสนใจลองหาเล่มเก่าๆอ่านดูได้55) ในหัสยนิยายเช่นพลนิกรกิมหงวนก็เริ่มมีการสื่อความหมายของการเล่นว่าวในทำนองนี้แล้วสำหรับหลายๆตอน ต่อมาคำว่าชักว่าวนี้จึงแพร่หลายกันจากเล่มต่อเล่มของหน้งสือที่หยิบยืมผ่านๆมือกันและพูดจากปากต่อปากในหมู่วัยรุ่นจนเป็นที่รู้กันทั่วประเทศในที่สุด หลังปี 2510 วัยรุ่นทุกคนก็รู้จักคำนี้กันติดปาก
ปล.จะว่าไปแล้วปัจจุบันคนยอมรับเรื่องนี้กันมากขึ้นเนื่องทัศนคติทางเพศเปิดกว้างและเด็กผู้ชายเดี๋ยวนี้ก็เรียนรู้และเข้าใจคำนี้กันเร็วมากเพราะเกิดมาก็เห็นทุกอย่างในอินเตอร์เน็ตแล้วไม่เหมือนสมัยผมเป็นวัยรุ่นซึ่งต้องบอกว่าเป็นช่วงแรกที่อินเตอร์เน็ตเพิ่งเข้ามา เรื่องแบบนี้กว่าจะเข้าใจเนี่ยก็ต้องเป็นช่วง ม.ต้นจริงๆ เป็นอันถลอกปอกเปิก พอมาแตกหนุ่มจริงๆช่วง ม.2 นี่แหละที่ถึงกระจ่างแจ้ง