เรื่องโฉนดถุงกล้วยแขกพระพยอม: ต้องให้ความเป็นธรรมกับกรมที่ดิน
เรื่องที่พระพยอมซื้อที่ดินแปลงหนึ่งแล้วสุดท้ายต้องคืนเจ้าของที่แท้จริงไป ในทาง Social กลับมองว่ากรมที่ดินเป็นจำเลยของสังคม แต่มองให้ดี ควรให้ความเป็นธรรมกับกรมที่ดินที่ถูกกล่าวหาผิดๆ มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
กรณีนี้คือการที่พระพยอมซื้อที่ดินที่ได้จากการครอบครองปรปักษ์ แต่กลับเป็นการออกโฉนดที่มิชอบ พระพยอมจึงต้องคืนที่ดินที่ซื้อมา 10 ล้านบาท และถมดินไปอีก 1 ล้านบาท แก่เจ้าของไป กรณีนี้เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 ศาลจังหวัดนนทบุรีได้ตัดสินให้เพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 คือ นางวันทนา สุขสำเริง และจำเลยที่ 2 คือ มูลนิธิสวนแก้ว โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา กลับไปเป็นของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ตามเดิม (http://bit.ly/2iDUj9V) การซื้อที่ดินด้วยเงิน 10 ล้านบาทในปี 2547 ก็เป็นโมฆะด้วย
สำหรับการครอบครองปรปักษ์นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้บัญญัติว่า "บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี. . .ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์" (http://bit.ly/2iDNJ3l) โดยในการนี้จะต้องเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน แต่ถ้ามีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 น.ส.3ก น.ส.3ข) ก็สามารถ "แย่งการครอบครองได้ภายใน 1 ปี
ไม่ทวงเงินคืนจากผู้ขาย พระพยอมไม่ฟ้องผู้ขายที่ดินแปลงนี้ (http://bit.ly/2hRv2Mv) ท่านกล่าวว่า มีตัวละครหลายตัว (รวมศาลและกรมที่ดิน) ไม่ใช่มีเฉพาะผู้ขาย แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นที่ไม่ควรฟ้องผู้ขาย เพราะผู้ขายได้เงินจากมูลนิธิวัดสวนแก้วไป 10 ล้านบาท แม้ผู้ขายได้เสียใช้จ่ายและลูกหลานใช้เงินไปแล้ว (ตามที่พระพยอมกล่าวซึ่งไม่ทราบว่าจริงหรือไม่) พระพยอมจึงควรเรียกร้องเงินมาคืนวัด การไม่ทวงค่าเสียหายจากผู้ขายเพื่อเอาเงินวัดที่ได้จากสาธุชนผู้บริจาคคืนมา ก็เท่ากับทำเงินของส่วนรวมสูญไป พระพยอมและมูลนิธิจึงควรใช้คืนแก่วัดเองหรือไม่
นางวันทนา (ผู้ขาย) อ้างว่าตนและมารดาอยู่มา 30 ปีก่อนไปขอจดครอบครองปรปักษ์ แต่พระพยอมอยู่วัดสวนแก้วนี้ก่อนเสียอีก คือมาอยู่ตั้งแต่ปี 2521 (http://bit.ly/2iC6ztp) หรือ 36 ปีก่อนซื้อที่ดินแปลงนี้ พระพยอมก็เป็นคนที่เกิดแถวนี้ ท่านเดินบิณฑบาตผ่านที่ดินนี้ทุกวัน เจ้าของที่ดินและทายาทอาจเคยใส่บาตรท่านก็ได้ ท่านน่าจะพอรู้ว่าใครคือเจ้าของที่ดินแปลงข้างวัดนี้ นอกจากพระพยอมไม่ฟ้องนางวันทนาแล้ว ในภายหลังท่านยังเมตตาให้ที่พักอาศัยระยะหนึ่งโดยท่านบอกว่ามีคนตามล่านางอยู่ซึ่งเป็นข้อที่ไม่อาจพิสูจน์ (http://bit.ly/2iFmNA5)
เพ่งโทษไปที่กรมที่ดิน: พระพยอมเคยกล่าวว่า ". . .เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน น่าจะช่วยกันคิด ช่วยค่าเสียหายทางวัดบ้าง ซึ่งหากทางวัดไม่ได้รับการเยียวยาเลย ก็อยากจะปิดวัดประท้วง. . .ถ้าไม่ทำอะไรเราจะดับเครื่องชน. . .ตอนนี้ร่างกายอาตมาก็ไม่ค่อยจะดี ถ้าอาตมาเป็นอะไรหรือตายไปก็ขอให้ญาติโยมรู้ไว้ว่าอาตมาตาย เพราะกรมที่ดิน. . .หากปีนี้เรียกร้องไม่ได้ผล ไม่ได้รับการเยียวยาให้ทางวัด 10 กว่าล้านบาท คงต้องปิดโครงการหลายอย่าง ทั้งให้ทุนการศึกษาเด็กนักเรียนปีละ 2-3 ล้านบาท ช่วยเหลือคนชรา หรือโครงการต่างๆ บวชเณรภาคฤดูร้อน คงต้องหยุดไว้อาลัย ไว้ทุกข์กับข้าราชการไทย" (http://bit.ly/2hSUhMN)
นอกจากนี้พระพยอมยังกล่าวด้วยอารมณ์ว่า "อาตมาคงถึงขั้นต้องเอาโฉนดไปขยายใหญ่แล้วทาสีดำ พร้อมพวงหรีดขึ้นป้ายหน้าวัด และเขียนลงไปว่า “โฉนดอัปยศ ออกโดยกรมที่ดิน บางใหญ่” แล้วอาตมาจะปิดวัด 9 เดือน หลบไปพักผ่อนที่สาขาบุรีรัมย์ เพราะคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วมันแสลงใจที่ต้องเห็นที่ดินที่ถูกหลอกทุกวัน ต้องผ่านเข้าออกทุกวัน ทนไม่ได้จริงๆ และถ้าเจ้าหน้าที่ที่ดินบางใหญ่ยังไม่รู้สึกสำนึกที่จะเยียวยา ก็จะไปปักกลดประท้วงหน้าสำนักงานที่ดินบางใหญ่ ให้มันรู้ไปเลยพระก็ถูกหลอกได้" แต่สุดท้ายทำอนุสาวรีย์โฉนดถุงกล้วยแขก http://bit.ly/2iPHYiH) และมอบถุงกล้วยแขกที่ทำด้วยโฉนดดังกล่าวให้อธิบดีกรมที่ดิน (พ.ศ.2557 http://bit.ly/2iPKGVx)
กรณีนี้ไม่อาจเอาผิด
1. กรมที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์ตามคำสั่งศาล ไม่อาจขัดได้
2. ศาลก็ไม่ได้ผิด เพราะพิพากษาตามข้อมูลที่ได้รับมา
ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ก็ยังกล่าวว่ากรมที่ดินก็ไม่ได้ผิด ศาลก็ไม่ได้ผิด ต้องไปเอาเงินคืนจากนางวันทนา (คนขาย) (http://bit.ly/2j6hCIl) และในการสู้คดี ผู้ขายก็กลับยอมยกที่ดินคืนแก่เจ้าของที่ดินอย่างง่ายดาย แสดงว่าผู้ขายคงมีพฤติกรรมน่าสงสัย ความผิดของคนขายที่ได้เงินไปเต็มๆ แม้อาจไม่มีเงินเหลือเพราะส่วนหนึ่งใช้เพื่อการเสียภาษี ให้คนช่วยวิ่งเต้น หรือลูกหลานรวมทั้งตัวเองใช้เงินไปหมดแล้ว
ดังนั้นในการซื้อที่ดินควรดูว่าเป็นที่ดินที่ได้จากการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ หากใช่และมีโฉนดถูกต้อง ก็ต้องสืบทราบให้ชัดเจนว่ายังมีกรณีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นได้หรือไม่ หาไม่จะเป็นความเสี่ยงประการหนึ่ง แม้แต่ในกรณีโฉนดที่ดินที่สร้างหลังปี 2497 ที่มีพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า และมีการประกาศเขตป่าสงวน ก็สามารถถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ได้หากอยู่ในเขตป่าสงวนดังกล่าว
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ราคาที่ดินแปลงนี้ที่พระพยอมซื้อในราคา 10 ล้านสำหรับที่ดิน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา หรือ 555 ตารางวา เป็นเงินตารางวาละ 18,000 บาทโดยประมาณ ในขณะนั้นที่ดินแถวนั้นขายกันในราคาประมาณตารางวาละ 21,000 บาท แสดงว่าท่านคงซื้อได้ต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย อย่างไรก็ตามในขณะนี้ราคาที่ดินแปลงดังกล่าว ควรจะเพิ่มเป็นเงินตารางวาละ 60,000 บาท เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงผ่าน ดังนั้นหากจะซื้อมาอีกครั้งหนึ่ง ก็คงเป็นเงินรวม 33.3 ล้านบาท
ราคาที่ดินแถวนั้นในช่วงปี 2546-2559 เพิ่มขึ้นประมาณ 8.4% ต่อปี ทั้งนี้จากฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) การสูญเสียโอกาสจากที่ดิน 10 ล้านบาทเป็น 33 ล้านบาท ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคนขาย และทั้งฝั่งคนซื้อที่เป็นผู้ตัดสินใจทำนิติกรรม แต่ไม่ทวงเงินจากคนขายและครอบครัว ก็ควรรับผิดชอบ ไม่ควรให้เงินหายไปเฉยๆ
ในการทำนิติกรรมที่ดินใด ๆ เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีเสียก่อน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายพอสมควร แต่ก็ไม่มากนัก เข้าทำนอง "ฆ่าควาย อย่าเสียดายเกลือ" นะครับ
ถ้ากรมที่ดินไม่ผิด แล้วใครผิด !?!
ที่มาของภาพ: http://www.pramool.com/auctpic9/collect_holy1226148162.jpg