หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

Share แชร์บอร์ด นิยาย เรื่องเล่า โพสท์โดย sickpack
 

โคลัมบัสแล่นเรือไปพิสูจน์ว่าโลกกลมเลยได้พบทวีปอเมริกา

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

ในปี 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้ทุนจากศาสนจักรให้แล่นเรือเดินทางไปยังเอเชียตะวันออก ทั้งที่คนยุคนั้นกลัวมากว่าเขาจะต้องทำไม่สำเร็จแน่ๆ เพราะโลกแบน ถ้าโคลัมบัสแล่นเรือไปเรื่อยๆ ก็จะตกขอบโลกและหล่นลงไปในปากของเต่าที่แบกโลกอยู่แน่นอน ทว่าโคลัมบัสไม่ตกขอบโลก แต่กลับไปพบทวีปใหม่คั่นเส้นทางไปยังเอเชียตะวันออกแทน นั่นคือทวีปอเมริกานั่นเอง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จึงกลายเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ค้นพบว่าโลกกลม และกลายเป็นบุคคลสำคัญของอเมริกาไปเลย

เงิบกันเลยมั้ยล่ะ เพราะความจริงแล้วมนุษย์เรารู้ว่าโลกกลมมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล พีทากอรัส
คือนักปราชญ์คนแรกๆ เลยที่คำนวณแล้วสรุปว่าโลกกลม เพลโตเองก็ได้ศึกษาคณิตศาสตร์ของพีทากอรัส และก็ได้ข้อสรุปว่า
โลกกลมเช่นกัน จากนั้นเพลโตก็สอนลูกศิษย์เช่นนี้เรื่อยมา อริสโตเติลผู้เป็นศิษย์เอกของเพลโตก็สังเกตการมองเห็นดวงดาว
ในหลายพื้นที่และคำนวณออกมาว่าโลกเป็นทางกลม (ส่วนเรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลนั้นว่ากันอีกเรื่องนึง)

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

นอกจากนี้ทางเทคนิคแล้วโคลัมบัสไม่เคยได้ขึ้นฝั่งที่พื้นทวีปอเมริกาจริงๆ เลยด้วย เขาขึ้นฝั่งที่บาฮามาสต่างหาก ส่วนตัวทวีปอเมริกาเองนั้นก็มีชาวยุโรปมากมายเคยค้นพบมาก่อนแล้ว ที่มีหลักฐานชัดเจนเลยคือคณะสำรวจชาวไวกิ้งของ Leif Erikson ชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบทวีปอเมริกา โดยคณะของเขาขึ้นฝั่งบริเวณประเทศแคนาดาในปัจจุบัน และที่ผู้คนในยุคโคลัมบัสกลัวว่าเขาจะทำไม่สำเร็จก็เป็นเพราะเขาดูถูกไซส์ของโลกมากเกินไป คนจึงกลัวว่าเสบียงเขาจะหมดกลางทางก่อนไปถึงเอเชีย เพราะดูจากแผนการของเขาแล้ว คนทั่วไปคิดว่าคงไปได้ถึงแค่ครึ่งทางแหงๆ




แต่ละส่วนของลิ้นรับรสได้คนละรส

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

เรื่องนี้หลายๆคน คงเคยเรียนมาสมัยประถมกันใช่ไหมว่า โคนลิ้นจะรับรสขม ด้านข้างของลิ้นฝั่งค่อนไปทางโคนรับรสเปรี้ยว ด้านข้างของลิ้นฝั่งค่อนมาทางปลายลิ้นรับรสเค็ม และปลายลิ้นรับรสหวาน ความเชื่อนี้เริ่มมาจากงานเขียนด้านจิตวิทยาในภาษาเยอรมันที่มีชื่อว่า Zur Psychophysik des Geschmackssinnes ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1901 ในงานเขียนนั้นมีข้อมูลว่าแต่ละบริเวณของลิ้นจะรับรสได้เพียงรสเดียวเท่านั้น

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

แต่ตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมาก็มีการทดลองเพื่อตรวจสอบความเชื่อนี้อยู่เรื่อยๆ และสรุปได้ว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด
เพราะจริงๆแล้วปุ่มรับรสพันๆ ปุ่มบนลิ้นสามารถจับได้ทุกรสไม่ต่างกัน และมันก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อแปลว่า
นั่นคือรสอะไรอีกที ฉะนั้นลิ้นไม่ได้บอกรสแต่เป็นสมองต่างหาก







นโปเลียนเป็นคนเตี้ยมาก (และนั่นน่าจะทำให้เขามีปม)

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

เรื่องนี้อาจไม่ได้อยู่ในหลักสูตรการเรียนโดยตรง แต่ในวิชาประวัติศาสตร์ของหลายๆ ประเทศในยุโรปมักมีประวัตินโปเลียน โบนาปาร์ตให้อ่านเป็นหนังสือนอกเวลา หนังสือหลายๆ เล่มระบุว่านโปเลียนมีความสูง 5 ฟุต 2 นิ้ว (ประมาณ 157.5 เซนติเมตร) ซึ่งตัวเลขนั้นก็ถูก เพียงแต่หลายสำนักพิมพ์ดูจะลืมอธิบายว่า นั่นคือ ฟุตและนิ้วแบบฝรั่งเศส ในยุคนั้นที่ไม่ตรงกับฟุตและนิ้วแบบสากลของยุคนี้

แต่ถ้าแปลงแบบหน่วยแบบฝรั่งเศสยุคเก่าแล้ว จะได้ความสูงที่ประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้วหรือประมาณ 170.2 เซนติเมตร บางคนอาจ
จะมองว่า 170 ก็น่าจะเตี้ยของฝรั่งอยู่ดีนะ แต่อย่าลืมว่าความสูงเฉลี่ยของผู้ชายฝรั่งเศสในยุคนั้นคือ 5 ฟุต 5 นิ้วนะ (ประมาณ 165 เซนติเมตร) ฉะนั้นตามมาตรฐานยุคนั้นแล้วนโปเลียนจัดว่าสูงใช้ได้เลย ดังนั้นการเรียกผู้ชายตัวเตี้ยที่มีปมในชีวิตจากความไม่สูงว่า "เป็นโรคนโปเลียน"จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลย

จริงอยู่ที่ว่าช่วงบั้นปลายชีวิตของนโปเลียน เขาถูกชาวบ้านเรียกว่า Le Petit Caporel หรือนายพลตัวน้อย แต่นั่นเป็นเพราะนโปเลียนมักไปไหนมาไหนโดยมีบอดี้การ์ดรายล้อม และการจะเป็นบอดี้การ์ดของนโปเลียนได้ก็ต้องเป็นชายร่างสูงใหญ่เท่านั้น นโปเลียนผู้สูง 170 ยืนอยู่กลางกลุ่มชาย 180 ขึ้นก็ย่อมดูเหมือนเตี้ยเป็นธรรมดา นอกจากนี้การเรียกว่านายพลตัวน้อยนั้นก็เหมือนเป็นคำเรียกแบบน่ารักๆ ด้วย ไม่ใช่คำด่า ฉะนั้นนโปเลียนไม่ได้เตี้ยแล้วมีปมจนต้องไปรบเพื่อขยายอาณาเขตประเทศเพื่อชดเชยความสูง มันไม่เกี่ยวกันเล๊ย






กำแพงเมืองจีนคือสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างเพียงแห่งเดียวที่มองเห็นได้จากอวกาศ

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

ข้อมูลนี้เคยเจอทั้งในหนังสือเรียนและหนังสือความรู้รอบตัว ที่วางขายอยู่ทั่วไปด้วยหละ จริงๆ ก่อนที่มนุษย์จะไปเยือนดวงจันทร์ก็เคยมีความเชื่อที่สืบทอดกันต่อมาด้วยนะ ว่าสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์เลย แต่นักบินอวกาศที่เคยไปดวงจันทร์ก็ยืนยันแล้วว่าขณะอยู่บนดวงจันทร์จะมองเห็นโลกเป็นเหมือนลูกบอลที่มีสีขาวเยอะมาก มีสีฟ้ารองลงมา มีสีเหลืองเล็กน้อย และนานๆที จะเห็นสีเขียวบ้าง แต่ไม่มีทางเห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย นั่นทำให้ความเชื่อนี้หายไป เหลือแต่เชื่อกันว่ายังคงมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศอยู่

ส่วนผู้ที่ทำลายความเชื่อนี้ก็คือนักบินอวกาศของจีนเอง Yang Liwei คือนักบินอวกาศคนแรกจากประเทศจีนที่ได้ขึ้นไปอยู่ในอวกาศด้วยโครงการอวกาศของจีนเอง เขายืนยันว่าขณะบินอยู่เหนือจีนและมองโกเลีย เขาเพ่งสุดๆ ยังไงก็ไม่เห็นกำแพงเมืองจีนเลย ตอนนั้นก็เป็นข่าวใหญ่อยู่เหมือนกัน หลายคนออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนข้อมูลในหนังสือเรียนใหม่เลยด้วย แต่เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายนะสาเหตุที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจากอวกาศก็เพราะกำแพงเมืองจีนสีกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง แต่ถ้าใช้กล้องเรดาร์ของสถานีอวกาศนานาชาติถ่าย ก็จะเห็นแนวเส้นที่บอกได้ว่านั่นแหละคือกำแพงเมืองจีน

จริงๆแล้ว นักบินอวกาศสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นได้มากมายเลยนะ ส่วนมากมักเป็นแสงไฟยามค่ำคืน
แต่ถ้าพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้วล่ะก็ มหาปิระมิดแห่งกีซ่า สามารถมองเห็นได้ชัดจากสถานีอวกาศนานาชาติ




มนุษย์มีประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่างเท่านั้น

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

เป็นสิ่งที่เรียนกันมานานแล้วว่าคนเรามีประสาทสัมผัสอยู่ 5 อย่าง ได้แก่การมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัส ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฎมาหลายยุคหลายสมัยและในหลายศาสนาด้วย จิตรกรมากมายในยุคก่อนๆ ก็วาดภาพที่สื่อถึงประสาททั้ง 5 นี้เช่นกัน

แต่เท่าที่นักวิจัยค้นพบจนถึงตอนนี้พบว่ามนุษย์เรามีประสาทสัมผัสเกิน 20 ได้ เช่น การรับรู้อุณหภูมิ, การรับรู้แรงดัน, การรับรู้อากัปกิริยา, การรับรู้ความเจ็บปวด, การรับรู้การทรงตัว, การรับรู้ความตึงของกล้ามเนื้อ, การรับรู้การยืดหดของอวัยวะภายใน, ความกระหาย, ความหิว, การรับรู้ถึงสนามแม่เหล็ก และการรับรู้เวลา เป็นต้น





ปลาทองมีความจำสั้นแค่เพียง 3 วินาที

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

ข้อนี้อาจไม่ถึงกับเป็นเนื้อหาในบทเรียน แต่ก็เคยได้ยินครูบ่นอยู่บ้างนะว่านักเรียนขี้ลืมเหมือนปลาทองเลย ซึ่งนั้นเป็นการใส่ร้ายปลาทองอย่างรุนแรง มีงานวิจัยจากหลายที่เลยที่ยืนยันว่าปลาทองจำได้เป็นเดือนๆ ไม่ใช่แค่ 3 วิ

มาดูตัวอย่างการทดลองแรกกัน เป็นผลงานของทีมวิจัยจากสถาบัน Technion Institute of Technology ในประเทศอิสราเอล
เขาฝึกปลาโดยเปิดเสียงเสียงหนึ่งในฟังผ่านลำโพงเวลาที่จะให้อาหาร ผ่านไประยะหนึ่งปลาก็จำได้ว่าถ้าเสียงนี้ดังขึ้นเมื่อไหร่แปลว่าอาหารกำลังมา และพวกมันก็จะว่ายมารออาหารทันที หลังฝึกได้หนึ่งเดือนก็ปล่อยปลาไปตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติของมัน เมื่อผ่านไปประมาณ 4-5 เดือน ปลาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทีมวิจัยนี้ก็เปิดเสียงนี้เรียกอีกครั้ง และปลาเหล่านั้นก็ว่ายกลับมาหาอีกครั้ง

ส่วนอีกการทดลองนึงที่ทดลองกับปลาทองล้วนๆ เลยคือผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Plymouth University นักวิจัยติดตั้งประตูลับไว้ในตู้ปลา เมื่อปลาทองว่ายมาชนคันโยก ประตูลับก็จะเปิดและอาหารก็จะถูกปล่อยออกมา เมื่อปลาทองเริ่มคุ้นเคยกับการใช้คันโยกแล้วนักวิจัยก็ตั้งเวลาให้อาหารถูกปล่อยลงมาแค่ในช่วงชั่วโมงเดียวในหนึ่งวัน ผ่านไปไม่กี่วันปลาทองก็รู้แล้วว่าต้องว่ายมาชนคันโยกแค่ตอนเวลานี้เท่านั้น ปลาทองหลายตัวถึงกับว่ายมารอหน้าประตูลับและดูกระวนกระวายตอนใกล้ถึงชั่วโมงให้อาหาร แต่ปลาทองก็ไม่ชนคันโยกพร่ำเพรื่อ เหมือนกับมันเรียนรู้แล้วว่าถึงชนไปก็ไม่มีอาหารร่วงมาอยู่ดี การทดลองนี้ใช้เวลา 3 เดือนจึงทำให้รู้ว่าปลาทองไม่ได้มีความจำ 3 วิแน่นอน



เลือดเมื่ออยู่ในตัวเรามีสีน้ำเงิน แต่พอมันเจอออกซิเจนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

ไม่เคยได้ยินความเชื่อแบบนี้ที่ไทย แต่ที่อเมริกายังมีบางโรงเรียนที่ครูสอนแบบนี้อยู่ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ เนอะ ความเชื่อนี้บอกว่า

"เลือดตอนที่อยู่ในตัวเราจะมีสีน้ำเงินเพราะมันยังไม่โดนออกซิเจนในอากาศ ไม่เชื่อก็ลองดูที่แขนสิ เส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน
หรือเขียวใช่มั้ยล่ะ แต่ทันทีที่เราหรือมีแผล ทำให้เลือดไหลออกมา เลือดจะเจอกับออกซิเจนและทำปฏิกิริยากันจนกลายเป็นสีแดง เราจึงเห็นเลือดที่ไหลออกมาเป็นสีแดง"

อ่านแล้วก็อยากจะอุทานใส่รัวๆ เลย เชื่อว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้รู้อยู่แล้วว่าเลือดเราสีแดงแน่นอน ไม่งั้นเวลาเอาเข็มฉีดยา
ไปดูดเลือดออกมาโดยตรงเพื่อตรวจเราก็ต้องเห็นน้ำสีน้ำเงินแล้วสิ ส่วนสาเหตุที่เรามองเห็นเส้นเลือดที่แขนเป็นสีน้ำเงินนั่น
ก็เพราะสายตาเราเอง แสงต้องผ่านฟิลเตอร์หลายชั้นในผิวเรา ทำให้ส่วนมากแล้วจึงเหลือแต่สีน้ำเงินที่สะท้อนกลับมาถึงตาเรานั่นเอง นอกจากนี้เลือดเราก็ขนส่งออกซิเจนอยู่แล้วด้วยนะ ส่วนเลือดในเส้นเลือดดำก็ไม่ได้มีสีดำ แต่เป็นสีแดงเข้มต่างหาก





โทมัส เอดิสัน คือผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกของโลก

8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก

จริงอยู่ที่เอดิสันมีชื่อเป็นนักประดิษฐ์คนดังแห่งยุค เพราะเขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ในอเมริกามากถึง 1,093 ชิ้น และยังมีอีกหลายชิ้นที่ได้จดสิทธิบัตรในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี รวมถึงยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรหลอดไฟ แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่ประดิษฐ์หลอดไฟ แต่เขาเป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์นี้ตังหาก หลังนำผลงานการประดิษฐ์หลอดไฟของนักประดิษฐ์หลายๆ คน มาทดลองต่อ
(เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จดก่อน ชนะ!")

การประดิษฐ์หลอดไฟมีมานานก่อนหน้านี้แล้ว มีนักประดิษฐ์ถึง 22 คนที่พัฒนาหลอดไฟอยู่เรื่อยๆ แต่เอดิสันคือคนที่นำผลงาน
ของนักประดิษฐ์คนอื่นไปประยุกต์ให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน และยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟให้มากขึ้น
ก่อนนำไปจดสิทธิบัตร

ทว่าเอดิสันก็มักถูกวิจารณ์อยู่เรื่อยถึงความเห็นแก่ตัวของเขา เพราะสิ่งประดิษฐ์ที่จดสิทธิบัตรในชื่อเขาส่วนมากคือการนำผลงาน
คนอื่นมาต่อยอด หรือบางชิ้นที่ประดิษฐ์ใหม่ก็เป็นผลงานที่บรรดาลูกจ้างของเขาทำขึ้น แต่เขากลับไม่แบ่งเครดิตให้คนอื่นด้วยเลย หนึ่งในอดีตลูกจ้างคนดังของเขาคือ นิโคลา เทสลา



8 ความรู้ผิดๆ ที่ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนรอบโลก
ขอบคุณที่มา: http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=145530.0

อ้างอิงcredit พี่พิซซ่า@pizzapeach
www.cracked.com/article_16101, www.therichest.com
matadornetwork.com, listverse.com
thoughtcatalog.com, www.reference.com
www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2828561
www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1106884
www.nasa.gov/vision/space/workinginspace/great_wall.html
www.todayifoundout.com/index.php/2010/03
www.todayifoundout.com/index.php/2010/07
www.imt.liu.se/edu/courses/TBMT36/pdf/blue.pdf
www.quora.com, www.iflscience.com
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
sickpack's profile


โพสท์โดย: sickpack
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
36 VOTES (4/5 จาก 9 คน)
VOTED: Ployza, HellCat, The Little Devil, paktronghie, makhamdong, ดูดี มีชาติตระกูล, ท่านแมวฮั่ว
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
นักดื่มกระทิงแดง กำลังมองหากระป๋อง ที่มีจุดสีน้ำเงินอยู่ข้างใต้ปรี๊ดเลย! "ครูไพบูลย์" โดนแซวว่าเล็ก..โต้กลับทันที "ผมเล็กหรือคุณโบ๋" กันแน่เคล็ดลับการใช้ประโยชน์จากเปลือกส้มๆ เหลือๆ อย่าทิ้งน๊า เอามาทำประโยชน์ได้จ้า จะใช้อย่างไรนั้นมาดูกันเลย...กุนขแมร์โวย! หลัง ‘เสี่ยโบ้ท‘ โพสแจ้งยกเลิกการแข่งขันทั้งหมดกับเขมรกลางดึกนักข่าวปาเลสไตน์โพสต์รูป ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยJKN ขาดทุน 2,157 ล้านบาท ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ธุรกิจคอนเทนต์แผ่วกะเทยแทงกันบาดเจ็บสาหัส ย่านสุขุมวิท11 ซ้ำรอย! จุดที่เคยเกิดเหตุวันกะเทยผ่านศึก..เผยโฉมหน้า "แบงค์" ที่ "เจ๊ปิ่น ทรงหิว" เต๊าะจนสำเร็จ..งานนี้ไม่หิวอีกต่อไปแล้ว!ฟังธง!! 3 ตัว หาซื้อเลขนี้ไว้เลย 1 เมษายน 2567
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
🤓 เข้ามาร่วมค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจมากมายของเหล่าผู้คนในโลก Social 😆นักข่าวปาเลสไตน์โพสต์รูป ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยเคล็ดลับการใช้ประโยชน์จากเปลือกส้มๆ เหลือๆ อย่าทิ้งน๊า เอามาทำประโยชน์ได้จ้า จะใช้อย่างไรนั้นมาดูกันเลย...JKN ขาดทุน 2,157 ล้านบาท ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ธุรกิจคอนเทนต์แผ่ว
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เผยโฉมหน้า "แบงค์" ที่ "เจ๊ปิ่น ทรงหิว" เต๊าะจนสำเร็จ..งานนี้ไม่หิวอีกต่อไปแล้ว!"ซีอิ๊วแบบเม็ด" ฉีกทุกกฎของซอส..นวัตกรรมใหม่จาก "เด็กสมบูรณ์"บ้าไปแล้ว! โพสต์ขายดินสอ 5 ล้าน..อึ้งกว่าคือ มีคนแย่งซื้อถึง 4 คนทาสแมวใจสลาย..รับไม่ได้ เอาแมวมาขอทาน
ตั้งกระทู้ใหม่