ชาวเน็ตสงสัย...การเรียกสินสอด กับ การขายลูกสาวกิน มันต่างกันอย่างไร
ผมมีเพื่อนหลายๆ คน ที่ไม่สามารถแต่งงานได้เพราะพ่อแม่ผู้หญิงเรียกเงินเป็นจำนวนมาก
บางคนคบกับแฟนปีแรกๆ ก็มีความสุขดี พอหลายปีผ่านไปกลับต้องมานั่งเครียดหาเงินเพื่อเป็น 'ค่าสินสอด' หลายล้านบาท
เมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ได้ยินมากับหูที่บรรดาแม่ที่มีลูกสาวสนทนากันในร้านทำผม
แม่ A : ปีนี้ลูกสาวชั้นจะแต่งงานแล้ว ชั้นจะเรียกค่าสินสอดเท่าไหร่ดีนะ
แม่ B : ลูกสาวชั้นแต่ง ชั้นเรียกไป 5 ล้านบาทเอง
แม่ C : แล้วเธอคืนให้แฟนลูกไหม ตอนลูกสาวชั้น คืนหมดเลย
แม่ B : โอ๊ย จะคืนทำไม สินสอดมันเป็นเงินค่าน้ำนมที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงได้นะจ๊ะ ยิ่งสมัยนี้ เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี เราก็ต้องมีเงินไว้เผื่อเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง
แม่ A : ชั้นว่าจะเรียกแค่ 1 ล้าน กับทองอีก 20 บาท เพราะบ้านแฟนลูกสาวไม่ได้รวยมาก แต่ชั้นคงคืนให้แต่ทองนะ เก็บไว้แต่เงินสด
@#$%*^
ผมนั่งฟังบทสนทนาแล้วก็สงสัยกับกลัวในเวลาเดียวกัน
ที่สงสัยคือ:
1. ทำไมฝ่ายหญิงถึงมีสิทธิ์เรียกค่าน้ำนมลูกสาวได้ฝ่ายเดียว แล้วผู้ชายเราไม่ได้โตจากน้ำนมหรือ?
2. การตั้งค่าสินสอดมันต่างกับการขายลูกสาวตัวเองอย่างไร เพราะสุดท้ายคนที่ต้องลำบากก็คือลูกเขยกับลูกสาวของคุณที่ต้องเสียเงินทองจำนวนมากให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง?
ที่กลัวคือ:
- ฟังแม่ๆ พวกนี้คุยกันแล้วไม่อยากมีลูกชายเลยครับ สงสารลูกกับตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 28
การที่ตั้ง สินสอด ขึ้นมา ก็เพื่อประกันว่า ยามใด ฝ่ายหญิงตกที่นั่งลำบาก จะได้มีทุนรอน ติดตัว ไม่ลำบาก
ปัจจุบัน ฝ่ายหญิงทำงานมากขึ้น มีการศึกษามากขึ้น ชีวิตไม่ได้ฝากไว้ที่ขาของผู้ชายมากขึ้น ทำงานเลี้ยงตัวเองได้ คำถามจึงเกิดกับประเพณีสินสอด ว่ายังจำเป็นหรือไม่ ในเมื่อปัจจุบัน ฝ่ายชายก็โดนทิ้งโดนเท กันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีข้อเสียเปรียบมากมายเท่าสมัยก่อนอีกต่อไป
แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพของผู้หญิง ที่ยังคงต้องตั้งครรภ์ เลี้ยงลูก ก็ยังคงลำบากกว่าผู้ชายอยู่ดี จะให้เท่าเทียมกันเลย คงต้องตัดมดลูกทิ้ง
จึง อยู่ที่ แต่ละครอบครัวจะจัดสรรให้ประนีประนอมกันเอง อยู่ที่ใครจะสะดวกอย่างไร ไม่มีถูกผิด คนที่ผิดคือ การเอาเรื่องเงินทองไปคุยทับถมกัน จนมองข้ามความรักที่เกิดขึ้น
ถ้าเรียกไปแล้วไม่ให้คืน = ไม่ต่างกับการขายลูกกินหรอกครับ
คนบางกลุ่มก็ทำเป็นอ้างเพื่อกลบเกลื่อนไปงั้น ว่าเป็นตามธรรมเนียมบ้าง เหตุผลอื่นๆสารพัดจะอ้างบ้าง แต่ข้ออ้างพวกนั้นจะถูกเปิดเผยต่อเมื่อให้แล้วได้คืนหรือไม่ได้คืน
ถ้าคืนก็เท่ากับว่าแค่ทำตามประเพณี
แต่ถ้าไม่คืนก็เท่ากับขายลูกกิน
แยกง่ายๆแค่นี้แหล่ะครับ ส่วนพ่อแม่ฝ่ายหญิงคนไหนจะอ้างเหตุผลอะไรในการไม่คืน สุดท้ายไม่คืนก็เท่ากับขายลูกกินอยู่ดี
ฝ่ายหญิงบางกลุ่มก็โดนฝังหัวมาผิดๆและเห็นดีเห็นงามกับการขายลูกกินแบบนี้เช่นกัน เห็นดีเห็นงามไปด้วยว่าเพื่อให้พ่อแม่ตัวเองสบาย เป็นหลักประกันหลังแต่งงานให้ฝ่ายชายไม่นอกใจ ฯลฯ สารพัดจะอ้างมาสนับสนุนการขายตัวเองดังเช่นสินค้าชิ้นหนึ่ง บางคนภูมิใจด้วยนะที่ขายตัวได้ราคาแพง ทั้งที่ตลอดชีวิตให้เอาฟรีมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เจ้าบ่าวแสนซวยก็มาล้างชามต่อไป ทีโดนคนเลวๆฟันแล้วทิ้งไม่เห็นไปเก็บเงิน ทีคนดีๆจะเข้ามาในชีวิตดันเก็บค่าผ่านประตูซะงั้น
คนแบบที่ว่านี้ไม่สมควรจะมาเรียกร้องความเท่าเทียมอะไรหรอกครับ เพราะไม่ให้คุณค่าตัวเองเลยด้วยซ้ำ ยังมองตัวเองว่าต้องให้ฝ่ายชายแบกรับภาระดูแลพ่อแม่ตัวเองด้วยเงินสินสอดอยู่เลย