นครดานังในวันนี้
บทความเรื่องดานังที่ท่านอ่านอยู่นี้ผมเขียนที่นครดานัง ประเทศเวียดนาม ซึ่งในช่วงวันที่ 5 - 7 ธันวาคม 2559 ผมไปประเมินค่าทรัพย์สินที่นี่โดยได้รับการว่าจ้างจากนักลงทุนชาวมาเลเซีย
ที่ผมมุ่งเขียนถึงนครดานังนั้น ไม่ใช่เฉพาะว่าผมไปอยู่ที่นครแห่งนี้ แต่เนื่องจากนครแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนก็ว่าได้ ตามระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกตะวันตกก็คือการเชื่อมนครดานังในประเทศเวียดนามทางทางภาคตะวันออก ผ่านลาวเข้าสู่ประเทศไทยทางมุกดาหาร พิษณุโลก ตาก และไปจนถึงพม่าทางทิศตะวันตก ถ้าระเบียงเศรษฐกิจนี้แล้วเสร็จเชื่อมสี่ประเทศดานังจะยิ่งเพิ่มความสำคัญยิ่งขึ้นในภูมิภาคนี้
สำหรับในประเทศเวียดนามเอง รัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับนครดานังเป็นอย่างยิ่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้บริหารบ้านเมืองของเวียดนามก็มีความผูกพันกับนครแห่งนี้และพื้นที่โดยรอบจึงมุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ทางภาคกลางของประเทศ ยิ่งมีการพัฒนาทางหลวงใหม่จากกรุงฮานอยสู่นครโฮจิมินห์ซิตี้ ผ่านนครดานังก็ยิ่งทำให้นครแห่งนี้ทวีความสำคัญยิ่งขึ้นตามลำดับเรียกได้ว่านครแห่งนี้จะเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีกในอนาคต
สำหรับการพัฒนาภายในนครดานังเองก็กำลังจะมีท่าเรือแห่งใหม่ที่มีศักยภาพใหญ่กว่าท่าเรือเดิมซึ่งเป็นท่าเรืออันดับสามของประเทศ พร้อมทั้งมีการพัฒนาทางหลวงและสาขาอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงอีกมากทีเดียว เชื่อว่าในอนาคตจะมีโครงการสำคัญๆ มากกว่านี้ หลายท่านอาจไม่ทราบว่าค่าครองชีพค่าจ้างและค่าใช้จ่ายในการริเริ่มธุรกิจในนครดานังถูกกว่ากรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ซิตี้นับเท่าตัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีนักลงทุน มาลงทุนที่นครแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
สำหรับสายการบินก็ปรากฏว่าเวียดนามแอร์ไลน์ริเริ่มบินจากกรุงเทพมหานครสู่นครดานังโดยตรงแล้ว (ในขณะที่การบินไทยซึ่งเคยบินตรงก็ได้เลิกร้างไปหลายปีแล้ว) ในระหว่างที่ผมมาอยู่ที่นครดานัง ผมพบชาวมาเลเซียเป็นจำนวนมากเพราะเริ่มมีสายการบินแอร์เอเชียบินตรงจากกรุงกัวลาลัมเปอร์มาโดยตรง ในขณะนี้มีเที่ยวบินบินตรงทั้งจากเกาหลีญี่ปุ่นจีนตอนใต้สิงคโปร์และอื่นๆ นักท่องเที่ยวเกาหลีก็แหบทะลักมาที่นครแห่งนี้เป็นอันมาก
ในด้านการท่องเที่ยว ดานังยังตั้งอยู่กลางระหว่างเมืองเว้ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าทางด้านเหนือ และเมืองฮอยอันซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทางตอนใต้ของนครดานัง ระหว่างเมืองเว้กับนครดานัง มีอุโมงค์เจาะภูเขาซึ่งยาวที่สุดในเอเซียอาคเนย์ ในนครดานังเองก็ยังมีบานาฮิลล์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวบนภูเขาสูงมีกระเช้าไฟฟ้า (ซึ่งไม่สามารถสร้างได้ที่ภูกระดึงแต่สามารถสร้างได้ที่นี่) ข้างบนนั้นยังมีกาสิโนขนาดใหญ่ (ซึ่งก็ไม่สามารถสร้างได้ในประเทศไทยเช่นกัน) ดังนั้นดานังจึงเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งนอกเหนือจากการเป็นเมืองอุตสาหกรรมแล้ว
ด้วยเหตุผลเหล่านี้นี่เอง จึงทำให้ผมมาที่นครดานังหลายครั้งแล้ว เพื่อมาประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ ที่สำคัญไม่ได้ทำให้นักลงทุนไทยแต่ทำให้นักลงทุนมาเลเซียหรือชาติอื่น ที่ตั้งใจจะมาลงทุนกันจริงจัง ผมสังเกตดูว่านักลงทุนไทยของเราส่วนมากจะได้แต่จดๆ จ้องๆ ไม่ได้คิดจะลงทุนจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นที่ กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย การจดๆ จ้องๆ อยู่แบบนี้ทำให้เพื่อนบ้านเราชักไม่ค่อยแน่ใจนักลงทุนไทย การนี้ทำให้ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านถูกสิงคโปร์ เกาหลี หรือมาเลเซียแซงตัดหน้าไปเกาหลีหรือมาเลเซียแซงตัดหน้า
ผมขอย้ำว่าไทยเราควรไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านให้มากไว้เพราะ หนึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยง สองเป็นการขยาย/แสวงหาโอกาส และสามเป็นการสร้างแบรนด์ การลงทุนข้ามชาตินั้นอาจจะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรายใหญ่เสมอไป รายใหญ่ๆ ของไทยอาจเชี่ยวชาญการลงทุนในประเทศด้วยเส้นสายแต่พอไปต่างประเทศ อาจไปไม่เป็น วิสาหกิจ SMEs นี่แหละที่จะเป็นตัวชูโรงกู้หน้าประเทศไทยในอนาคต
อย่าลืมทำธุรกิจต้อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละหาไม่จะถูกคนอื่น "หายใจรดต้นคอ" หรืออาจถูกแซง กลายเป็นเพลี่ยงพล้ำไปได้ โปรดสังวร