มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม กับ อัจฉริยะสตีเฟ่น ฮอว์คิง
Stephen Hawking ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นไอน์สไตน์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ว่ากันว่า เขาเป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลกของเราที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้
หลายคนอาจจะคุ้นชื่อของเขาจากภาพยนตร์เรื่อง The Theory of Everything ซึ่งเข้าฉายในบ้านเราเมื่อไม่นานมานี้
งานวิจัยเรื่องหลุมดำ
การค้นพบครั้งใหม่ของนักจักรวาลวิทยา Roger Penrose เกี่ยวกับชะตาของดวงดาวและการเกิดขึ้นของหลุมดำเป็นสิ่งที่ทำให้ Hawking ครุ่นคิดเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของอวกาศ ซึ่งนั่นเป็นที่มาที่ทำให้เขาศึกษาอย่างจริงจังและได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องหลุมดำและอวกาศในปัจจุบัน
ในขณะที่เขาสูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกายลดลง (จนต้องมาใช้รถ wheelchair ในปี 1969) อาการของโรคเริ่มแสดงอาการช้าลง. ในปี 1968 หนึ่งปีหลังจากที่เขาให้กำเนิดลูกชายชื่อว่า Robert . Hawking ได้กลายเป็นสมาชิกของสถาบันดาราศาสตร์แห่ง Cambridge
และในช่วงไม่กี่ปีถัดมา เขาก็มีลูกสาวนามว่า Lucy ในปี 1969 ในขณะที่เขากำลังสานต่องานวิจัย (ส่วนลูกคนที่สาม Timothy เกิดเมื่อ 10 ปีให้หลัง) เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกของเขาชื่อว่า The Large Scale Structure of Space-Time ในปี 1973 ร่วมกับ George Ellis นอกจากนี้เขายังได้ร่วมมือกับ Penrose เพื่อร่วมศึกษาในงานวิจัยของ Penrose
ในปี 1974 , งานวิจัยหนึ่งของ Hawking ทำให้เขากลายเป็นคนดังในวงการวิทยาศาสตร์ เมื่อเขาแสดงให้เห็นว่า หลุมดำไม่ได้มีลักษณะเป็นสุญญากาศโดยสมบูรณ์อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ยุคก่อนหน้าเชื่อ เขาอธิบายง่ายๆว่า สสารหนึ่งในรูปของรังสีสามารถฝ่าพ้นแรงโน้มถ่วงของหลุมดำออกมาได้ ซึ่งภายหลังถูกเรียกว่า รังสี Hawking
การเผยแพร่งานวิจัยในครั้งนั้นเป็นการช็อกโลกวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ และทำให้ Hawking ได้รับรางวัล มีชื่อเสียง และโด่งดังอย่างมาก เขาได้รับเกียรติอยู่ในฐานะ fellow ของราชสมาคมแห่งลอนดอนเมื่ออายุ 32 ปี และภายหลังได้รับรางวัล Albert Einstein Award รวมถึงรางวัลอื่นๆอีกมากมาย
Hawking ได้ทำงานในฐานะอาจารย์อยู่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือที่ Caltech เมือง California โดย Hawking สอนในฐานะ Visiting professor ส่วนอีกที่คือ Gonville และ Caius College ใน Cambridge จนกระทั่งปี 1979 Hawking กลับมาสอนที่ Cambridge ที่ที่เขาได้ร่ำเรียนมาและเขาได้ถูกจารึกชื่อไว้ในตำแหน่ง Lucasian Professor of Mathematics ซึ่งเป็นตำแหน่งอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดตำแหน่งหนึ่งในโลก (ผู้ที่เคยอยู่ในตำแหน่งนี้ก็เช่น Sir Isaac Newton, William Whiston ฯลฯ)
เรืองราว ‘A Brief History of Time’
อย่างไรก็ตาม การประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพของ Hawking นั้นเกิดควบคู่ไปกับสภาวะร่างกายที่แย่ลงเรื่อยๆ โดยในช่วงกลางยุค 1970 ครอบครัวของ Hawking ตัดสินใจขอให้หนึ่งในลูกศิษย์ของ Hawking ช่วยดูแลเขาและงานของเขา และถึงแม้ว่า Hawking จะสามารถกินอาหารและตื่นนอนเองได้ แต่ในเรื่องอื่นๆแล้วเขาจะต้องพึ่งผู้ช่วยอยู่เสมอ นอกจากนี้การพูดของเขาก็แย่กว่าเดิมมาก มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ในปี 1985 เขาสูญเสียความสามารถในการออกเสียงเนื่องมาจากการผ่าตัดหลอดลม ซึ่งหลังจากนั้นทำให้เขาต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
แต่นั่นไม่สามารถหยุด Hawking ได้ มีโปรแกรมเมอร์จาก California ให้ความสนใจและได้พัฒนาโปรแกรมทดแทนเสียงพูดซึ่งอาศัยการเคลื่อนไหวของศีรษะหรือดวงตา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ Hawking สามารถเลือกคำศัพท์ที่ปรากฏในจอคอมพิวเตอร์และส่งต่อไปยังระบบสังเคราะห์เสียง ซึ่งในช่วงแรก Hawking ทำการบังคับอุปกรณ์นี้ด้วยนิ้วมือ แต่ทุกวันนี้เมื่อเขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้แล้ว Hawking ควบคุมอุปกรณ์โดยการใช้กล้ามเนื้อแก้มที่ติด sensor ไว้
ด้วยระบบโปรแกรมและการช่วยเหลือจากผู้ช่วย, Stephen Hawking ยังคงผลิตผลงานออกมามากมาย งานของรวมไปถึงงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์นับไม่ถ้วน และแน่นอน บางส่วนก็เป็นข้อมูลที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน
ในปี 1988 Hawking ซึ่งมีฐานะเป็น ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซีบีอี ก็ได้ออกตีพิมพ์หนังสือชื่อ A Brief History of Time. หรือ ประวัติย่อของกาลเวลา ซึ่งเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาไม่ยาวมากนัก บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก โดยติดอยู่ในอันดับ London Sunday Times’s best-seller กว่า 4 ปี ถูกจำหน่ายหลายล้านเล่มทั่วโลกและถูกแปลมากกว่า 40 ภาษา อย่างไรก็ตามเนื้อหายังคงไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจเหมือนกับที่หลายคนหวังไว้ ถัดมาในปี 2001 , Hawking จึงได้ออกหนังสืออีกเล่ม ชื่อ จักรวาลในเปลือกนัท ซึ่งอาศัยภาพประกอบในการพยายามอธิบายทฤษฎีของจักรวาลวิทยาเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และอีกสี่ปีถัดมา เขาได้ออกหนังสืออีกเล่มชื่อว่า A Briefer History of Time. โดยบอกว่าเป็น version ที่อ่านง่ายของ A Brief History of Time
เมื่อประกอบเอาความรู้ งานวิจัย งานตีพิมพ์ของ Hawking ต่างๆเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นทฤษฎีซึ่งเป็นการรวมเอาการศึกษาจักรวาลวิทยา(การศึกษาในสิ่งที่ใหญ่) รวมเข้ากับ กลศาสตร์ควอนตัม (การศึกษาในสิ่งที่เล็ก) ทำให้สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของอวกาศได้ ซึ่งทฤษฎีนี้ Hawking บอกว่าเราสามารถมองโลกได้เป็น 11 มิติ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเป็นไปได้ให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยเขาเชื่อว่าการเดินทางข้ามเวลานั้นเป็นไปได้และมนุษย์เองอาจจะไปครอบครองดาวดวงอื่นได้ในอนาคต
ท่องเที่ยวไปในอวกาศ
Hawking มีภารกิจในการพยายามหาคำตอบให้กับคำถามต่างๆมากมาย ซึ่งรวมไปถึงความปรารถนาส่วนตัวในการที่จะท่องเที่ยวไปในอวกาศ ในปี 2007 เมื่ออายุ 65 ปี Hawking ได้เข้าใกล้ความฝันของเขา โดยได้เดินทางไปยัง Kennedy Space Center ที่ Florida ซึ่งที่นั่นเขาได้รับโอกาสให้ไปสัมผัสสภาวะแวดล้อมที่ปราศจากแรงโน้มถ่วง เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก Hawking ซึ่งอยู่บนเครื่องบินโบอิ้งดัดแปลง ก็เป็นอิสระจาก wheelchair ของเขาและสัมผัสถึงสภาวะไร้น้ำหนัก มีภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วโลก
ถ้าเราจะพูดถึงนักวิทยาศาสตร์คนดัง แน่นอนว่า Hawking เป็นหนึ่งในนั้น เขาถูกนำไปสร้างเป็นตัวละครในการ์ตูน Simpson, Star Trek หรือ Late Night with Conan O’brien หรือกระทั่งเสียงพากษ์ในเพลงของ Pink Floyd “Keep Taking” และในปี 1992 ผู้กำกับรางวัล Oscar อย่าง Errol Morris ได้สร้างสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของ Hawking ชื่อว่า A brief History of Time
แน่นอนว่า ชื่อเสียงที่โด่งดังทำให้ใครๆก็ต่างให้ความสนใจในเรื่องชีวิตส่วนตัวของเขา และก็มีข่าวไม่ดีเท่าไรหลุดออกมา ในปี 1990 เขาเลิกกับ Jane ภรรยาของเขาและไปคบกับ Elaine Mason พยาบาลที่ดูแลเขาแทน ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1995 ซึ่งการแต่งงานของทั้งคู่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขาและลูก โดยลูกๆบอกว่า Elaine ปิดกั้นไม่ให้ได้พบกับพ่อ และในปี 2003 ผู้ที่ดูแล Hawking ได้รายงานว่า Elaine ทำร้ายร่างกายสามีของเขา แต่ Hawking ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวและทำให้ตำรวจยกเลิกการสืบสวน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2006 Hawking และ Elaine ได้ฟ้องหย่ากัน และนับแต่นั้นเองเขาก็ได้ใกล้ชิดกับลูกๆมากขึ้น เขาเริ่มคืนดีกับ Jane ซึ่งแต่งงานใหม่ไปแล้ว , Jane เขียนหนังสือวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กในปี 2007 ชื่อ George’s Secret Key to the Universe ร่วมกับลูกสาวของเธอ Lucy
สุขภาพของ Hawking ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องกังวล เขาไม่ได้มาร่วมงานประชุมที่ Arizona ในปี 2009 เนื่องมาจากการติดเชื้อที่หน้าอก ในเดือนเมษายน Hawking ซึ่งลาออกจากตำแหน่ง post of Lucasian Professor of mathematics ที่ Cambridge หลังจากอยู่ในตำแหน่งครบ 30 ปีแล้ว ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน โดยทางมหาวิทยาลัยออกแถลงการว่า เขาป่วยอย่างหนัก
Hawking มีแผนจะเดินทางไปในอวกาศในฐานะหนึ่งในลูกค้าของ Sir Richard Branson ผู้บุกเบิกการท่องเที่ยวในอวกาศ โดยเขากล่าวในปี 2007 ว่า “การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นถือเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเสมอ เราเสี่ยงต่อภัยพิบัติเช่น ภาวะโลกร้อนฉับพลัน สงครามนิวเคลียร์ ไวรัสที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมหรือภยันตรายอื่นๆ ผมคิดว่ามนุษยชาติจะสิ้นอนาคตหากยังไม่ย้ายไปอยู่ในอวกาศ ดังนั้นผมจึงอยากจะให้สังคมหันมาสนใจในเรื่องนี้
ในเดือนกันยายนปี 2010, Hawking ได้ออกมาพูดปฏิเสธความคิดที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่สร้างอวกาศในหนังสือชื่อ The Grand Design ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ Hawking เคยกล่าวว่าความเชื่อเรื่องพระเจ้าอาจจะเข้ากันได้อยู่กับทฤษฎีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตามงานชิ้นใหม่ของเขาได้สรุปว่า การกำเนิดของจักรวาลหรือ Big Bang นั้นเกิดมาจากผลต่อเนื่องจากกฎทางฟิสิกส์เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลย เขากล่าวว่า “เพราะว่ามันมีกฎบางอย่างอยู่ เช่น กฎของแรงโน้มถ่วง มันทำให้จักรวาลสามารถสร้างตัวมันขึ้นมาเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้า”
หนังสือ The Grand Design ถือเป็นงานตีพิมพ์ของเขาเล่มแรกในรอบทศวรรษ ในงานชิ้นใหม่ของเขานี้ Hawking ได้ท้าทายความเชื่อของ Sir Isaac Newton ที่ว่าจักรวาลนั้นถูกออกแบบโดยพระเจ้า เขาบอกว่า “มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรบกวนพระเจ้าให้สร้างจักรวาลขึ้นมา”
Hawking เป็นข่าวอีกครั้งในปี 2012 มีการเปิดเผยว่าเขาได้เข้าร่วมในการทดลองใช้อุปกรณ์คาดศีรษะที่เรียกกันว่า iBrain ซึ่งอุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาให้อ่านความคิดของผู้สวมใส่โดยเลือกเอาคลื่นของการส่งสัญญาณไฟฟ้าของสมองขึ้นมาเพื่อตีความโดยใช้ Algorithm พิเศษ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเป็นผลดีอย่างมากต่อทั้ง Hawking และผู้ป่วย ALS คนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม Hawking บอกว่ามันยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
Hawking ในวงการบันเทิง
Hawking ได้แสดงให้เห็นว่าเขาก็มีด้านตลกด้วยเช่นกัน โดยเขาได้แสดงเป็นดารารับเชิญ ในซีรีส์ตลกเกี่ยวกับกลุ่มของนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม โดยเขาแสดงเป็นตัวเขาเอง โดยในฉาก Hawking ได้ชี้ให้นักฟิสิกส์ชื่อ Sheldon Cooper รู้ถึงความผิดพลาดในงานของเขา ซึ่งสามารถเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้อย่างมาก
ในปี 2014 Hawking ได้ออกมาพูดเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังท่านอื่นๆถึงความอันตรายของระบบสมองกล artificial intelligence (AI) โดยเรียกร้องให้มีงานวิจัยถึงผลต่างๆมากขึ้นในทุกสาขาของ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กระแสหนังเรื่อง Transcendence ที่ Johnny Depp แสดงนำ ที่ทำให้เห็นถึงความย้อนแยงของมนุษยชาติและเทคโนโลยี เขากล่าวว่า “ความสำเร็จในการสร้าง AI อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ มันอาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เรามี ถ้ามนุษย์ยังไม่เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าว” นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าอีกหน่อย หุ่นยนต์เหล่านี้ อาจจะครองตลาดเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ประดิษฐ์สิ่งต่างๆที่มนุษย์ทำไม่ได้ ไม่เชื่อฟังมนุษย์ และผลิตอาวุธที่เราไม่สามารถเข้าใจหลักการทำงานของมัน
ในเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน “The Theory of Everything” ภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของ Stephen Hawking และ Jane Wilde ถูกสร้างขึ้น Eddie Redmayne แสดงในบทบาทของ Hawking เพื่อจำลองชีวิตวัยเรียน ชีวิตรัก ชีวิตคู่ของเขากับ Wilde การเผชิญหน้ากับโรคร้าย และความสำเร็จในโลกวิทยาศาสตร์ของเขามาให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงแง่มุมต่างๆของชีวิตนักวิทยาศาสตร์ผู้เลื่องชื่อคนนี้
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าเรื่องราวของ Stephen Hawking ที่ผมได้พยายามรวบรวมมาจะเป็นประโยชน์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคน ถึงแม้ Hawking จะมีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ แต่เขาก็สามารถก้าวมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกได้