“ถ้ารู้ว่าตัวเองไปเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีอย่าไปบริจาคโลหิต เด็ดขาด”
เรื่องนี้ผมซีเรียสและพยายามรณรงค์มาโดยตลอด หลายคนคงจะสงสัยว่า “อ้าว แล้วก่อนให้เลือดไม่มีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนรึ? ไหนว่าตรวจหาเชื้อทุกถุงไง”
ใช่ครับ "ตรวจหาเชื้อเอชไอวีในเลือดทุกถุงจริง"
โดยใช้วิธีที่ดีที่สุดในโลกและได้มาตรฐานสากลด้วย เราเรียกว่าการตรวจ NAT(แนท) มันคือการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโรคเรียกกันอีกแบบก็คือการตรวจหา DNA ของเชื้อนั่นเอง (สำหรับเชื้อเอชไอวีจะเป็น RNA นะ แต่ขอหยวนๆเรียกว่า DNA นะครับจะได้เข้าใจง่ายๆ)
นึกภาพตามนะครับ เมื่อคุณผู้อ่านไปรับเชื้อเอชไอวีมา เชื้อก็จะปะปนอยู่ในเลือดของคุณ วันแรกๆที่รับเชื้อมาใหม่ๆ จะยังไม่วิธีการตรวจใดในโลกนี้ที่ตรวจหาเชื้อเจอ เพราะปริมาณเชื้อมันน้อยมากๆ อ้าว!! แล้ววันไหนล่ะจะตรวจเจอล่ะคุณเทคนิคการแพทย์?
ตอบเลยว่าต้องรอประมาณ 11 วัน เชื้อมันจึงจะโตและเพิ่มปริมาณมากพอที่จะให้เราตรวจได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อเอชไอวีเมื่อวัน 14 ก.ค. แล้วอีก 2 วันต่อมา(วันที่ 16 ก.ค.) คุณไม่สบายใจว่าจะติดโรคหรือไม่ ก็เลยไปบริจาคเลือด บาปเลยนะครับ!!! วิธีแนทที่ว่าดีที่สุดยังตรวจไม่เจอเลยนะ ต้องผ่านไปประมาณ 11 วัน จึงจะตรวจเจอ ดังนั้นถ้าคุณมาบริจาควันที่ 25 ก.ค. จะตรวจเจอเชื้อเอชไอวีได้แน่ๆ
คำถามยอดฮิต ที่หลายคนสงสัยต่อมาก็คือ "ทำไมไม่เจาะเลือดใส่หลอดแล้วทิ้งไว้ 11 วันล่ะ แล้วค่อยเอามาตรวจ" เออแฮะ! เข้าใจคิด แต่ข่าวร้ายก็คือ แม้จะทิ้งไว้นานเชื้อเอชไอวีมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นในหลอดหรือแม้แต่ในถุงเลือดก็ตามเพราะมันมีอาหารที่จำกัดยังไงล่ะ มันจะเพิ่มปริมาณเยอะๆได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในร่างกายคน
พอจะเดาเรื่องออกหรือยังครับ ทีนี้ถ้ามีใครซักคนรู้ตัวว่าเสี่ยง ครั้นจะไปโรงพยาบาลเพื่อไปขอตรวจเอชไอวีก็อายเขา ก็เลยทำเนียนไปบริจาคเลือด ยังไม่ถึง 11 วันเลย ไปบริจาคซะแล้ว เครื่องตรวจที่ดีที่สุดในโลกก็ตรวจไม่เจอเชื้อ เลือดของคุณก็จะถูกนำไปให้เด็กๆ ให้ผู้ป่วยตาดำๆ สุดท้ายพวกเขาก็กลายเป็นเอดส์ พอเข้าใจยังครับ แล้วเลือดของคุณยังสามารถแยกส่วนประกอบได้อีกประมาณ 3 ถุง ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และน้ำเหลือง แจกจ่ายให้หลายคน กี่คนล่ะครับที่ต้องเป็นเอดส์จากความมักง่ายของเราลองคิดดู วอนล่ะครับ หากสงสัยเอชไอวีให้ไปพบแพทย์หรือปรึกษาคลินิกนิรนามนะครับ รับผิดชอบสังคมร่วมกัน ฝากแชร์เรื่องนี้ด้วยนะครับ