หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

วิมานะ อากาศยานโบราณ

โพสท์โดย Preen

                                

                             อากาศยาน แห่งภารตะยุค


หากจะพูดถึงอารยะธรรมอัน(เคย)รุ่งเรื่องแถบตะวันตก แห่ง มาชูปิคชู ของ เผ่ามายัน ที่หลักฐานจารึกจากหินสลัก ทองคำสลัก แผ่นบันทึกทองคำที่บันทึกภาษารูณโบราณ ต่างๆ ผมเชื่อว่า หลายคนที่ชอบเรื่องแบบนี้ อาจจะเคยอ่านหรือเคยศึกษาผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว

รูปหินสลักจากฝาโลงของเผ่ามายัน ขุดพบบริเวณ มาชูปิคชู  ลักษณะคล้ายคนขี่พาหนะที่เคลื่อนที่ไปในอากาศ

 

เหมือนปืน ?????    หรือเปล่า ???

ทองคำแกะสลัก ขุดพบพร้อมฝาโลงหินสลักของเผ่ามายัน  มีลักษณะคล้ายเครื่องบิน ??  หากคนสมัยก่อนสร้างศิลปะจากสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน พวกเขารู้จักเครื่องบินด้วยเหรอ ??? ยังเป็นข้อสงสัยครับ

 

แล้วทางฝั่งเอเชียล่ะ มีหรือไม่ ???


เราก็เรียนกันมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นกันเกือบทุกคนนะครับ สำหรับมหากาพย์ของอินเดียเรื่องมหาภารตะ และรามายณะ หรือรามเกียรติ ผมจะไม่เล่าประวัติ หรือเนื้อเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองนี้ล่ะนะครับ คิดว่าคงรู้กันดีอยู่

แต่ ปัญหามันมีอยู่ว่า ไอ้ที่เราเรียนๆหรืออ่านกันนี้ มันเป็นฉบับดัดแปลงครับ หมายถึงสำนวน เนื้อเรื่อง ต่างๆเพี้ยนจากต้นฉบับไปเยอะมาก (ทำนองเดียวกับไบเบิล) ส่วนหนึ่งอาจมาจากกาลเวลาที่ยาวนาน รวมถึงการเล่าสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน มีการดัดนั่น เสริมนี่เข้าไปจนเพี้ยนจากต้นฉบับเดิมมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการแปลครับ การแปลจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงภาษา ตลอดจนปัจจัยอื่นๆประกอบกันเพราะฉะนั้น

ขอให้ทำความเข้าใจกันนิดว่า เอกสารทั้งหลายที่ผมอ้างอิงถึง เป็นเอกสาร Original ซึ่งขุดค้นพบโดยนักโบราณคดี และนักวิชาการเท่านั้น ถ้าคุณไปซื้อฉบับที่เป็นวรรณกรรมมาอ่านแล้วเนื้อหาไม่เหมือนกันจะมาโวยวายผมไม่ได้นะครับ

เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเสียที นักวิชาการผู้สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณทั้งหลายแหล่ มีอยู่ส่วนหนึ่งครับ ที่ปักใจเชื่อมั่นว่า ในอดีตโลกของเรา เคยถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาก่อน สำหรับท่านที่เข้ามาดูเว็บไซต์นี้บ่อยๆก็คงพอจะเข้าใจแนวคิดนี้ดี อินเดียเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมใหญ่ของโลก เคยรุ่งเรืองทั้งศาสตร์และศิลป์มาตั้งแต่อดีตกาล เรารู้จักกันในนามของอารยธรรมลุ่มน้ำ คงคา-สินธุ ครับ กลุ่มชนที่อาสัยในแถบนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวอินโด-อารยัน อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายใหญ่ๆของโลก ชาวอินโดอารยันในแถบนี้มีความรู้ทางภาษามากครับ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม จึงมีให้เห็นเกลื่อนไปหมด ทว่า มีวรรณกรรมอยู่หลายเรื่องที่เก่าแก่จนหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเริ่มต้นมาจาก ไหน บางเรื่องเก่ากว่าต้นกำเนิดของผู้คนในแถบหิมาลายันเสียอีก มหาภารตะ คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ครับ

จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโบราณที่ถูกค้นพบในอินเดียและปากีสถาน ทำให้นักโบราณคดีถึงกับอึ้งครับเมื่อพวกเขาแปลพบจารึกเหล่านี้ ร้อนถึงสภามหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยของกองทัพอินเดียต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการแปลข้อความ เหล่านี้ ต้นฉบับสันสกฤตของมหาภารตะถูกค้นพบนานมากแล้วครับ เพียงแต่แรก เริ่มเดิมที ต้นฉบับเหล่านี้ถูกมองเป็นเพียงนิทานเท่านั้น แปลไปแปลมามันไม่ยักกะใช่น่ะซีครับ เพราะเนื้อหาที่กล่าวถึงมันช่างล้ำยุคล้ำสมัยเป็นที่สุด ร้อนถึงหลายๆสถาบันที่เกี่ยวข้องในยุโรปและอเมริกาต้องมาประชุมเครียดกัน เพื่อถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับต้นฉบับดังกล่าว ผลสรุปได้ ออกมาดังนี้ครับ กลุ่มแรกเห็นว่ามันเป็นเพียง"ตำนาน"เท่านั้น ก็แค่นิทานและจินตนาการของกวี ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย

แต่อีกกลุ่มเค้าไม่คิดแบบนั้นน่ะซีครับ เค้าบอกว่านี่แหละคือหลักฐานแบบจะๆที่สามารถอ้างอิงได้ว่า ในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำสงครามกันด้วยอากาศยานและเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์มาแล้ว

ว๊าว... เป็นไปได้ยังไงกัน?


เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีชาวจีนได้ค้นพบ จารึกภาษาสันสกฤต ในมณฑลลาซาของทิเบต ภาษาที่ใช้โบราณจนแปลลำบากมาก กลุ่มนักโบราณคดีได้ส่งจารึกชิ้นนี้ไปที่มหาวิทยาลัย Chandrigarh เพื่อขอความช่วยเหลือในการแปล ดร.Ruth Reyna หัวหน้าทีมแปลจารึกชิ้นนี้กล่าว่า เอกสารพวกนี้กล่าว ถึงวิธีการสร้างยานอวกาศครับ! เป็นยานที่ใช้โดยสารระหว่างดวงดาว มีการกล่าวถึงหลักการขับเคลื่อนของวิมานะ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า "laghima" ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ ดร. Reyna กล่าวต่อไปว่า กลไกการขับเคลื่อนของตัวยานนั้น ตามจารึกเรียกว่า แอสตรา(Astras) สามารถที่จะนำมนุษย์ไปยังดาวดวงใดก็ได้ที่ต้องการ เหลือเชื่อดีมั๊ยล่ะครับ เอกสารโบราณของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อนเนี่ย

นอกจากนี้ เนื้อหาในจารึกยังกล่าวถึง "อันติมะ" ยานยนตร์ที่ล่องหนได้ และ "การิมะ" อากาศยานขนาดใหญ่เท่าภูเขาขนาดย่อม เหมือนนิทานดีนะครับจารึกพวกนี้ แน่นอนว่าทีแรกทีมงานแปลไม่ได้ใส่ใจจารึกพวกนี้มากนัก จนกระทั่งกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่า จะมีการนำเอาเนื้อหาส่วนหนึ่งของจารึกนี้มาวิจัยในโครงการอวกาศของจีนด้วยนั่นแหละ ทั่วโลกจึงหันมาจับตา "นิทานโบราณ"พวกนี้อย่างจริงจัง

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า จารึกเหล่านี้ขาดหายตกหล่นไปเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น นักวิชาการรวมไปถึงนักโบราณคดีก็ได้อะไรไม่น้อยจากจารึกนี้ เชื่อไหมครับว่ามีการกล่าวถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ในมหากาพย์ รามายณะ อากาศยานที่พวกเขาใช้โดยสารเรียกว่า วิมานะ หรือ แอสตรา ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง การทำสงครามอวกาศด้วยวิมานะด้วยครับ ระหว่างชาวอินเดียโบราณกับชาว Asvin (ขออ่านว่าอัศวินนะครับ) ด้วย ถ้าเรื่องในจารึกเป็นแค่นิทานหรือนิยาย ก็นับว่าเป็นนิยายวิทยศาสตร์เรื่องแรกของโลกที่กล่าวถึงการทำสงครามอวกาศ ก่อนหน้า Star Wars ของ จอร์จ ลูกัส เกือบหมื่นปีเเลย


เพื่อเจาะลึกเรื่องวิมานะนี้ให้มากขึ้นอีก ผมขออนุญาตพาท่านย้อนยุคไปยังอาณาจักรโบราณ ซึ่งตามจารึกกล่าว่าเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ 15,000 ปีก่อนหน้านี้ อาณาจักรนี้ชื่อ Rama Empire ครับ ตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน นักโบราณคดียืนยันว่า นครเก๋ากึ๊กแห่งนี้ไม่ใช่มีแต่ในนิทานเท่านั้น หากแต่มีอยู่จริงทำนองเดียวกับทรอยและไมซีนี่ เพราะมีการขุดพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดไปจนจารึกอีกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ตั้งของนคร ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทะเลทรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่องรอยของอาณาจักร Rama ยังหลงเหลืออยู่ในตำนานปัจจุบันหลายเรื่องเช่นนครทั้งเจ็ดอันกอปรขึ้นเป็น อาณาจักร Rama นี้เรารู้กันกันตามตำนานในชื่อของ "The Seven Rishi Cities." หรือ นครของกษัตริย์ลิจฉวีนั่นเอง

นครนี้มีคงความเจริญทางเทคโนโลยีไม่แพ้ปัจจุบันทีเดียว เพราะตามจารึกกล่าวถึงความเป็นอยู่ของพลเมืองไว้อย่างพิสดารมาก พวกเขาไปไหนมาไหนกันด้วยพาหนะที่เรียกว่า Vimanas หรือ วิมานครับ ลักษณะของมันประกอบด้วยดาดฟ้าสองชั้น ตัวยานมีลักษณะกลมเหมือนโดม มีรูระบายอากาศโดยรอบ โอ.. ศิวะเทพ! ทุกท่านคิดเหมือนผมไหมครับว่า ลักษระของเจ้าวิมานะเนี่ยช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ UFOs เสียจริงๆ ยังมีอีกนะครับ วิมานะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าสายลม แถมยังมีเสียงเหมือนบรรเลงเครื่องดนตรีสี่ประเภทพร้อมกันอีก วิมานะมีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบครับ ในจารึกยังมีคู่มือการขับวิมานะประเภทต่างๆ รวมถึงการหลักการสร้างและทำลายวิมานะของข้าศึก เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดให้ดูครับ

 

เทคโนโลยีเกี่ยวกับวิมานะนี้ถูกบันทึกไว้ในบันทึกที่ชื่อว่า Samarangana Sutradhara เป็นภาษาสันกฤต บันทึกนี้เขียนโดย Paramara King Bhoja of Dhar (1000-1055 AD).

บันทึกนี้เป็นสารานุกรมเกี่ยวกับ classical Indian architecture ซึ่งมีข้อมูลหลายๆ เรื่องนอกจากวิมานะ เช่น การวางผังเมือง, สถาปัตยกรรมของบ้าน, สถาปัตยกรรมของวัด

เรื่องของวิมานะที่แปลเป็นอังกฤษ ก็ไม่รู้ว่าเอามาจากเล่มนี้หรือเปล่า

เวปนี้มีแปลเรื่องวิมานะจากคัมภีร์ภาษาสันกฤต http://www.bibliotecapleyades.net/vi...vs/default.htm ก็ไม่รู้ว่ามาจากเล่มนั้นหรือเปล่า


ลิงค์ที่เกี่ยวกับ Samarangana Sutradhara
http://intellibriefs..../20...er-cracks.html

http://en.wikipedia.org/wiki/Samarangana-sutradhara

หนังสือ ชื่อ วิมานิกะ ศาสตรา อันลือลั่น แห่งซีกโลกตะวันตก ฉบับแปลตรงจากภาษา สันสกฤต  !!!!!!!!!!!!

เป็นบทสงครามด้วยอาวุธที่แปลออกมาแล้ว...ต้องอ้าปากค้าง...โอ้...ศิวะเจ้า เป็นไปได้หรือนี่

ข้อมูลเกี่ยวกับ-วิมานะ ที่มีอยู่ในจารึก

-ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก
-กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว
-วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู
-การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม
-การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู
-กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน
-การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ


จากส่วนหนึ่งของมาหกาพย์ มหาภารตะ

มีวิมานะอยู่ประเภทหนึ่งครับมีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ส่งเสียงดังปานฟ้าผ่า แถมยังวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ลักษณะเหมือน UFOs ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไม่มีผิดครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง มีการแถลงการจากนักโบราณคดีรัสเซียถึงการค้นพบเครื่องยนต์ปริศนา ที่ถ้ำเล็กๆในทะเลทรายโกบี เครื่องยนต์ที่ว่าทำจากแก้วและโลหะคาดว่าต้องเป็นชิ้นส่วนของยานพาหนะสัก อย่างในอดีต ในโคนซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อไอเสียของเครื่องยนต์พบสารปรอทตกค้างอยู่เป็น จำนวนมาก เล่นเอานักโบราณคดีกลุ่มนั้นงงเป็นไก่ตาแตก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครหนอ ที่มาทิ้งเครื่องยนต์อายุเกือบแปดพันปีเหล่านี้ไว้ในถ้ำเล็กๆ ในทะเลทรายที่ปราศจากผู้คนแบบนี้

น่าเสียดายครับ ที่วิมานะก็เหมือนอากาศยานที่ใช้กันในปัจจุบัน คือเน้นงานสงครามเป็นหลัก ชาวภารตะโบราณเล่าขานถึงการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ ระหว่างพวกเขาและคู่สงครามด้วยวิมานะอย่างน่าฟัง คู่ สงครามของพวกเขาเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Rama Empire ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวภารตะโบราณเรียกอาณาจักรนั้นว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานะของฝ่ายนั้นว่า Vailixi ครับ

มีอยู่บทหนึ่ง(ในหลายๆบท)ในมหภารตะที่โด่งดังมากครับ เพราะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์มาก มีการใช้ขีปนาวุธที่ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" ถล่มกันจากวิมานะ มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวูธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัวเอง อานุภาพ การทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว

จินตนาการหรือเปล่า ?

นี่เป็นเพียงจินตนาการหรือการถ่ายทอดภาพของสงครามนิวเคลียร์ให้ชนรุ่นหลัง ได้รับทราบ? โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยกับเจ้าของหนังสือเล่มที่ผมแกะมานี้มากเลย ระเบิดและฝุ่นกัมตภาพรังสี ผลที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ การปนเปื้อนและตกค้างของฝุ่นนิวเคลียร์ ไม่มีอะไรจะต้องสงสัยอีกแล้วว่า เมื่อนานแสนนานมาแล้ว มนุษย์ได้ทำลายล้างกันด้วยอาวุธมหาประลัยชนิดนี้มาก่อนและบันทึกเรื่องราว เอาไว้เพื่อตักเตือนอนุชนรุ่นหลังถึงพิษภัยของมัน

ในเมืองโมเฮนโจดาโร อดีตชุมชนแสนโบราณบริเวณลุ่มน้ำสินธุ มีการพบว่าโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลายจนกลายเป็นแบบนี้

ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าวิมานะของชาวภารตะโบราณ เกี่ยวข้องอย่างไรกับ UFOs ที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะตามจารึกแล้ว Rama Empire ล่มสลายไปหมดเนื่องจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น ทว่านักวิชาการส่วนหนึ่งยังมีความหวังอยู่ เนื่องจากในจารึกมีการกล่าวถึงการเดินทางระหว่างดวงจันทร์กับพื้นพิภพด้วยวิ มานะ มีการรบกับระหว่างชาวภารตะกับชาว Asvin บนน่านฟ้าเหนือวงโคจรดวงจันทร์ ไม่แน่นะครับ ในหลืบใดหลืบหนึ่งของดวงจันทร์ อาจมีผู้รอดตายจากสงครามครั้งนั้นเหลืออยู่ก็ได้

ขอแว็ปไป "อียิปต์" แว๊บนึงที่นั่นก็มีรูปสลักที่น่าสนใจอยู่เช่นกัน รูปนี้เอามาจาก 3000-year old New Kingdom Temple, located several hundred miles south of Cairo and the Giza Plateau, at Abydos.

    เห็นอะไรไหมครับ ???

เหมือนเฮลิคอปเตอร์ และ เรือดำน้ำไหม ???

รายละเอียดปลีกย่อย ที่กล่าวถึง วิมานะ

"มีลักษณะ 2 ชั้นประกบกันเป็นทรงกลมและยาวเป็นทรงกระบอก มีโดมอยู่ด้านบนพร้อมกับประตู บินได้ด้วยความเร็วของลม และส่งเสียงไพเราะยามบินอยู่บนท้องฟ้า" เป็นคำบรรยายถึงลักษณะของ "วิมานะ" หรือ "วิมาน" ของชาวอินเดียสมัยโบราณที่ได้บันทึกเอาไว้ ทั้งวิธีการบินและการควบคุม รวมไปถึงการสร้างวิมานะอีกด้วย ซึ่งวิมานะนั้นมีด้วยกันอยู่ 4 ชนิด คือ 1.Shakuna Vimana 2.Sundara Vimana 3.Rukma Vimana 4.Tripura Vimana (บางจารึกก็กล่าวว่ามันมีมากกว่านี้)

ใน แผ่นต้นฉบับของวิมานะยังประกอบไปด้วยความลับในการสร้างยานบิน ซึ่งจะต้องแข็งแรง ไม่แตกหัก ทนทานต่อไฟ และทำลายไม่ได้ และความลับการสร้างยานบินที่ล่องหนได้ การแอบฟังการสนทนากันของฝ่ายข้าศึก จับภาพของเครื่องบินข้าศึก การสอดแนมฝ่ายตรงข้าม การทำให้ข้าศึกสลบ และการทำลายยานบินของฝ่ายข้าศึก อื้ม ร้ายไม่เบาเชียวครับ

ในต้นฉบับภาษาสันสกฤตของเดิมนั้นก็ได้มีการกล่าวอ้างถึงพระเจ้า (Gods) ที่ทำการสู้รบกันบนท้องฟ้าด้วยวิมานะพร้อมกับอาวุธต่างๆ ที่มีอานุภาพร้ายแรง ดังเช่นในมหากาพย์รามายนะ (Ramayana) ได้กล่าวไว้ว่า [COLOR=Orange]"The Puspaka car that resembles the sun and belongs to my brother was brought by the powerful Ravan; that aerial and excellent car going everwhere at will

ในมหาภารตะบทที่แปดยังกล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่โดยกุรคา ทำการบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษณะเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง...

" ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน "

The Samara Sutradhra (อยากจะอ่านว่า สมร สูตรภัทร จัง อิอิ O_O) ผู้เขียนเค้าเชื่อครับ ว่ายานวิมานะเนี้ยมีอยู่จริงและพยายามค้นคว้าจากจารึก โบราณเกี่ยวกับโครงสร้าง (Construction) การนำวิมานะลอยขึ้น (Take off) การบินเป็นระยะทางไกลๆ เช่นการเดินทางข้ามเมืองหรือดวงดาว และการนำลงจอด (Landing) แม้แต่ศึกษาถึงเรื่องที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้ชนกับบรรดานกทั้งหลายบนฟ้าว่าทำ ยังไง ต่อมาในปี ค.ศ.1875 ท่านนักปราชญ์ชาวอินเดียชื่อ Bharadvajy ไค้ค้นพบจารึกเก่าแก่ที่พบในโบถส์ของอินเดียและได้นำมาเขียนหนังสือซึ่ง เนื้อหากล่าวถึงการขับวิมานะเป็นระยะทางไกลๆ และข้อพึงระวังต่างๆ เช่น การป้องกันวิมานะจากพายุและสายฟ้า รวมไปถึงการเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เป็นแหล่งพลังงานขับวิมานะซะอีก o_o อะไรจะล้ำหน้าขนาดนั้น  !!

ซึ่งหนังสือนั้นชื่อว่า Vaimanika Sastra มีด้วยกันทั้งหมด 8 บทพร้อมบรรยายรายละเอียดไว้อย่างดี เช่น วัสดุที่ใช้สร้างมี 16 ชนิด ทั้งยังอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องมือเบรคและยิงในเวลาเดียวกัน และอุปกรณ์ดูดซับความร้อนและแสง พร้อมทั้งเหตุผลต่างๆ ได้ถูกบรรยายทุกอย่างเอาไว้อย่างละเอียดครับ ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกแปลไปเป็นภาษาอังกฤษที่เรียกว่า VYMAANIDASHAASTRA AERONAUTICS โดย Maharishi Bharaswaaja ในปี ค.ศ. 1979 นั่นเอง และทางด้านฮิตเลอร์ก็มีความสนใจในวิมานะเช่นกัน ในยุค 1930 กว่าๆ นั้นทางด้านนาซีก็ได้นำจารึกและความรู้จากบันทึกเหล่านี้ไปพัฒนาจนได้มาเป็น เครื่องยนต์ที่เรียกว่า V 8 Rocket "Buzz Bombs" นั่นเอง

ในจารึกของ Mohenjodaro ที่พบในปากีสถานนั้นก็กล่าวถึงการบินของวิมานะว่าบินกันไปตลอดทั่วเอเชีย แอตแลนติส หรืออเมริกาใต้ไปจนถึงเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ก็ยังปรากฎอยู่ว่ามีโดยจากจารึกของเกาะอีสเตอร์ที่เรียกว่า Rongo เค้าว่าเอาไว้ค่ะว่าเกาะอีสเตอร์เป็นท่าอากาศยานของอาณาจักรพระรามอีกด้วย (น่าจะเป็น ที่ราบ นาซคา นะครับ ว่ามะ)

ร่องรอยประหลาดจากมุมสูงของที่ราบ นาซคา หรือ นาสก้า คาดว่ารอยพวกนี้อาจจะถูกสลักจากมุมสูง โดย ยาน วิมานะ

ใน Mahavira of Bhavavhuti (อ่านว่า มหาวีระ ของภวภูติ ?? ) ก็ยังมีจารึกกะเค้าอีกเหมือนกัน (อย่าเพิ่งเอียนจารึกครับ) มีอายุราว 8,000 ปี หลังจากทำการแปลแล้วได้ความตามนี้ เค้ากล่าวไว้ว่ามีการบรรทุกคนจำนวนนึงไปยัง "อโยธยา" ด้วยพาหนะที่บินได้ และบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพาหนะเช่นนี้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ กลางคืนสว่างดุจกลางวันด้วยแสงเหลืองนวลพราวท้องฟ้า เหมือนเป็นการอพยพผู้คนด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างนึง ทีนี้ลองมาดูกลอนฮินดูโบราณดูบ้าง (เค้าว่าเก่าแก่กว่าของอินเดียทั้งหมดซะอีก) ที่ชื่อว่า Vedas ที่บรรยายถึงวิมานะในรูปร่างต่างๆ กัน เช่น Ahnihotra Vimana มี เครื่องยนต์ 2 ตัว แต่ Elephant Vimana มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น (มีวิมานะช้างด้วยเรอะ !!!) และวิมานะชนิดอื่นก็ตั้งตามชื่อสัตว์ต่างๆ กันไปเช่น วิมานะนกกระเต็น Kingfisher Vimana หรือ วิมานะนกช้อน Ibis Vimana อื้ม จากจารึกนี้วิมานะชื่อไม่เหมือนทางอินเดียเลย วิมานะจากจารึกของฮินดูน่าจะมีหลากหลายชนิดกว่า หรือมีหลายผู้ผลิตกันน๊า...ประมาณว่ารถยนตร์ในปัจจุบันมั๊ง

ในที่สุด (เอาแบบสรุปไปเลยละกัน) ทุกๆอย่างก็ถึงจุดจบ ที่สุดของความรุ่งเรืองและวิวัฒนาการ ก็จบลง ดั่งเช่นมีคำว่า อุบติ ก็ต้องมีคำว่า วิบติ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ท้ายที่สุดวิมานะก็ถูกนำมาใช้ในการสงคราม ชาว Atlantean หรือ Asvin ที่ชอบการศึกสงครามเป็นอย่างยิ่ง และความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่สูงเจริญกว่า มียานบินที่เรียกว่า Vailixi มีรูปร่างคล้ายซิการ์ สามารถที่จะแล่นไปยังใต้น้ำได้ดุจดังแล่นบนท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งอวกาศ เข้าสู้รบกับทางด้านอินเดียโบราณที่มี Vimana เป็นอาวุธและมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า จะไปเหลืออะไรละครับแบบนี้  จากบันทึกของ Eklal Kueshana ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Ultimate Frontier ในปี 1966 มีตอนนึงกล่าวว่า Vailixi ถูกสร้างและพัฒนาเมื่อ 20,000 ปีมาแล้วในแอตแลนติส โดยลักษณะหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมด้วยเครื่องยนต์ 3 ตัวข้างใต้ พวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าอุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงเป็นตัวขับ โดยมี แรงม้าประมาณ 80,000 แรงม้า" ครับไม่ผิดหรอก 80,000 นั่นละ มหาศาลมาก ในมหาภารตะและรามายณะก็กล่าวถึงสงครามระหว่างพระรามและแอตแลนติส โดยใช้อาวุธเข้าทำลายล้างกันเมื่อประมาณ 10,000 - 12,000 ปีก่อนเอาไว้ด้วย ก็เป็นที่แน่นอนละครับว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัสมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธมหาประลัยทำลายล้างด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ บางจารึกก็กล่าวว่าสมรภูมิรบบางทีก็เป็นบนดวงจันทร์ !!!

การสู้รบบนดวงจันทร์นั้นก็เพราะว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่มีสาเหตุมาจากอาวุธนิวเคลียร์ แต่ภายหลังก็จบลงด้วยความพินาศของทั้งสองฝ่าย ต่อมานักโบราณคดีได้พบกับโครงกระดูกมากมายนอนเรียงรายอยู่ตามถนน บ้างก็กุมมือกันไว้เหมือนกับว่าโดนหายนะมาเยือนโดยฉับพลันหรือไม่ก็รู้ว่า หนีไม่พ้น ทั้งยังพบรังสีมากมายในโครงกระดูกนี้ และสถานที่รอบๆ กำแพงเมืองหินหลอมเป็นเนื้อเดียวกันดั่งโดนความร้อนที่สูงมากอย่างนั้นละ ไม่ใช่พบแต่ในอินเดียเท่านั้น ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส ตุรกี ก็ยังพบปรากฏการณ์ที่ว่านี้อีกด้วย ไม่เท่านั้น เค้ายังพบอีกว่าผังเมืองที่ว่าได้ถูกวางเอาไว้อย่างดี ระบบประปาก็ดีเหมือนดังที่ใช้กันในปัจจุบันในอินเดียและปากีสถาน และเค้ายังสำรวจต่อไปอีกและพบเศษแก้วจับตัวกันเป็นก้อนดำๆ ซึ่งจากการนำไปวิเคราะห์ก็พบว่ามันเป็นเศษหม้อดินเหนียวที่ถูกความร้อนสูง เผาจนกลายเป็นลักษณะดังกล่าว และการหายไปของอาณาจักรพระรามของอินเดียโบราณก็เพราะสงครามครั้งนี้นั่นเอง จากนั้นโลกก็กลับกลายมาเป็นยุคหินอีกครั้งนึง และประวัติศาสตร์โฉมใหม่ของมนุษย์ชาติก็เกิดขึ้นมาอีกราว 2,000-3,000 ปีต่อมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวของวิมานะจะหายไปเสียหมด ก็ยังปรากฎอยู่ในหน้าประวัติของพระเจ้าอโศกดังที่กล่าวไปแล้ว Planet X มีเรื่องราวแถมตอนท้ายอีกหน่อยค่ะเกี่ยวพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้กรีฑา ไพร่พลไปเข้ายังอินเดียเมื่อ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว ก็เจอเข้า "flying saucer" (ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ทุกคนส่วนใหญ่คงทราบดีนะคะ)มาลอยอยู่เหนือกองทัพ แต่เจ้าสิ่งนั้นก็มิได้ปล่อยลำแสงหรืออาวุธอันใดออกมาทำร้ายยังกองทัพของพระ เจ้าอเล็กซานเดอร์แต่อย่างใด และเป็นคาดกันว่า Vimana หรือ Vailixi อาจจะถูกซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำในทิเบตหรือเอเชียตอนกลาง และทางตะวันตกของจีนก็เป็นได้

 

จากต้นฉบับสันสกฤตของ Samarangana Sutradhara

ต้นฉบับของการแปลเป็นหนังสือเล่มนี้

 

ยังได้จารึกไว้อีกว่า "วิมานะที่สร้างขึ้นนั้นจะมีความแข็งแกร่ง เบาเหมือนขนนกเวลาบิน และภายในมีเครื่องยนต์และอุปกรณ์ให้ความร้อนภายใต้ยาน โดยใช้หลักการขับเคลื่อนแบบลมหมุน ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางจนทำให้แรงดึงดูดถูกหักล้างไปเป็นศูนย์จนทำ ให้วิมานะนั้นลอยขึ้นมาได้ ก็เป็นหลักการคร่าวๆ ของ วิธี Anti-Gravitation" ซึ่งวิมานะนั้นก็จะสามารถลอยขึ้นลง เดินหน้าถอยหลังได้สะดวกดังใจของผู้ที่บังคับหรือควบคุมวิมานะอยู่ ใน Hakatha หรือกฎหมายของชาวบาบิโลน (Laws of the Babylonians) ก็ได้มีบันทึกเกี่ยวกับความรู้และการบังคับยานพาหนะบางชนิดที่ลอยบนฟ้าได้ ซึ่งเค้าจารึกเอาไว้ว่าความรู้นี้เป็น "มรดกที่ตกทอดมาจากผู้ที่ลงมาจากท้องฟ้า " ?!?!?

จากการวิจัยและศึกษาของ D.hatcher Childress ที่งานวิจัยของเค้าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดหรือ UFOs ซึ่งเค้ากล่าวสรุปเอาไว้ดังนี้ว่าอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว , ความลับทางการทหาร , หรือจากชาวอินเดียโบราณและชาวแอตแลนติส และได้กล่าวเอาไว้อีกว่า ต้นฉบับจารึกเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องราวที่ได้จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์หรือเรื่องจริง และรายละเอียดของตัวอักษรหรือข้อความที่ได้จารึกเอาไว้นั้นน่ะไม่น่าจะผิด เพี้ยนไปมากนัก และเค้ายังกล่าวอีกว่า ยังมีจำนวนของต้นฉบับภาษาสันสฤตอีกมากที่ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษา อังกฤษ!!! เอาละซิ นี่ถ้าเกิดเค้าสามารถทำการแปลออกมาได้จนหมดแล้วละก็ เราก็คงจะได้รู้อะไรที่น่ามหัศจรรย์มากขึ้นกว่านี้ก็ได้

ทีนี้เรามาดูทางด้านกษัตริย์อินเดียพระองค์หนึ่งบ้างดีกว่าครับ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พระเจ้าอโศกมหาราช (Emperor Ashoka) นั่นเอง พระองค์ก็ทรงมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับวิมานะเหมือนกัน คือว่าพระเจ้าอโศกเนี่ยได้ก่อตั้ง Secret Society of Nine Unknown Men ขึ้นมาครับ ซึ่งพระเจ้าอโศกเนี่ย ก็ได้ดำเนินงานศึกษาเรื่องยานพาหนะเหล่านี้อย่างเป็นความลับกับนักวิทยา ศาสตร์ของพระองค์ เพราะกลัวว่าความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขนาดนั้นจะนำไปสู่สงครามได้ และนำความรู้ที่ได้บันทึกเก็บเป็นหนังสือเก้าเล่มที่ชื่อว่า The Nine Unknown Men โดยเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้จะเกี่ยวกับ ความลับของแรงโน้มถ่วง The Secret of Gravitation และวิธีควบคุมแรงโน้มถ่วง Gravity Controll ตลอดไปจนเรื่องราวของวิมานะ โดยตามจารึกแล้วหนังสือเหล่านี้อาจถูกซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในอินเดีย ถ้ำตามทะเลทราย อเมริกาเหนือ หรือบางทีอาจจะมีชาติมหาอำนาจค้นพบไปแล้วก็ได้ครับ ก็พอมีทางเป็นไปได้เหมือนกัน เอาละครับเรามาว่ากันต่อดีกว่าเรื่องพระเจ้าอโศก ก็ทรงทราบละครับว่าเจ้าเครื่องมือและยานพาหนะเหล่านี้ละ ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้รบและทำลายล้างกันในยุคของอาณาจักรพระราม (Rama Empire) เมื่อหลายพันปีมาก่อนนี่แหละครับเป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าอโศกทรงเก็บวิทยา การเหล่านี้ไว้เป็นความลับ และนำไปซุกซ่อนเสียเพื่อที่จะไม่ให้ประวิติศาสตร์ซ้ำรอยนั่นเอง ซึ่งต่อมาจีนก็ได้ค้นพบนำจารึกเหล่านี้ไปทำการศึกษาและวิจัยอีกด้วยเหมือน กัน


⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Preen's profile


โพสท์โดย: Preen
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
148 VOTES (4/5 จาก 37 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เกมพลิก!! เมื่อหนุ่ม ๆ เเอบเเม่ไปหาปลา เกือบโดนด่า เเต่พอเห็นลูกได้ปลาตัวใหญ่กลับบ้าน เสียงเปลี่ยนทันทีเลยนะเเม่ชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?สาว "เจี๊ยบ" ทำเนียนเดินรวมกับ นร.ญี่ปุ่น..ทำเอาหนุ่ม "บอย" ถึงกับแยกไม่ออกนกอันตรายที่สุดในโลกหลอนทั้งอพาร์ทเมนต์! คนใช้น้ำแทบช็อก..หลังพบศwในแทงค์น้ำบนชั้นดาดฟ้าลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยวันนี้ที่รอคอย! กอดทั้งน้ำตา..หนุ่มตามหาแม่แท้ๆ นานกว่า 29 ปีจนเจอ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?วันนี้ที่รอคอย! กอดทั้งน้ำตา..หนุ่มตามหาแม่แท้ๆ นานกว่า 29 ปีจนเจออิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธชวนมารู้จักลาบูบู้ มาการอง เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง
ตั้งกระทู้ใหม่