หนุ่มทโมนเที่ยวทมิฬ บทที่ 4
ลิงค์บทที่ 3 https://board.postjung.com/989510.html
“หนุ่มทโมนเที่ยวทมิฬ ฟินสุดๆกับอินเดียใต้”
เรื่อง/ภาพ โดย เดชา เวชชพิพัฒน์
บทที่ 4
ตอนอยู่ที่สนามบินอันนา (Anna International Airport) ในนครเชนไน ขณะยืนรอเป้ที่บริเวณสายพาน ผมเห็นสาวไทยสองคนยืนคุยกัน ดูท่าทางคุ้นเคยกับอินเดียใต้ กล่าวคือมีท่าทางสง่างามสงบนิ่ง ปราศจากท่าทางตื่นๆ เหมือนผม จึงเข้าไปถามว่าจะเข้าตัวเมืองทางรถไฟได้อย่างไร คุยไปคุยมาพอรู้ว่าทั้งคู่มาเที่ยวที่นี่บ่อยจึงถามว่าชอบเมืองไหนที่สุด
“พอนดิเชอร์รี” เธอตอบเสียงใส ผมหูพึ่ง เมืองอะไรอีกละเนี่ย ไม่ได้อยู่ในแผนการท่องเที่ยวที่วางไว้เลย จึงได้แต่จำชื่อไว้ เมื่ออยู่ในที่พักจึงเปิดหนังสือคู่มือท่องเที่ยวดู อ่านแล้วตาโต โอ้โฮ เมืองนี้เป็นหนึ่งในที่เที่ยวแนะนำ ทั้งประเทศเขาแนะนำไว้แค่ 11 แห่งเท่านั้น พลาดไปได้ยังไงเนี่ย พลาดอีกแล้ว ประจำเลย เปลี่ยนชื่อเหอะ นายพลาดศักดิ์ หรือ นายพลาดพงษ์ จะเหมาะกว่ามั้ย
อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจมาเที่ยวเมืองนี้ครับ เดินทางก็ง่าย นั่งรถประจำทางจาก มมัลลปุรัม ไม่นานก็ถึง โดยไม่รู้เลยว่านรกรออยู่ใกล้ๆ เห็นแดดแล้วบอกตัวเองให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามที่มีร่มเงาของตึกบังแดดเพื่อเดินมุ่งหน้าไปหาที่พัก
สะพานลอยมีทางขึ้นแบบให้จักรยานและมอเตอร์ไซค์ขึ้นได้ครับ เป็นทางเรียบลาดยาวออกไป เดินไปช่วงแรกก็รู้สึกว่ามีกลิ่นฉี่ ซึ่งพอทนได้ จึงเดินต่อไป พอเข้าไปถึงกลางสะพานเท่านั้นแหละ นรกมีจริงครับ ทั้งอึทั้งฉี่กองอยู่สองข้างทาง เหลือที่ว่างขนาดเล็กพอวางเท้าได้ให้ผมวิ่งผ่านไป
ผมวิ่งไปปิดปากและจมูกไป แต่ไม่ไหวจริงๆครับ อ้วกเลยครับ อ้วกออกมาตรงที่เลี้ยวหักศอก จากนั้นก็วิ่งต่ออีกระยะทางเท่าเดิมไปจนถึงบนสุดจึงได้หายใจ พอยืนพักจนหายมึนจึงหันมองทางขวา ได้เห็นว่ามีทางขึ้นที่เป็นบันไดซึ่งสะอาดหมดจด
จริงอย่างที่เขาว่ากัน “ความโง่มาก่อนความฉลาด” ทางขึ้นดีๆมีไม่ขึ้นดันไปขึ้นทางที่ชาว “พอนดี้” เห็นเป็นสุขา ได้แต่ปลอบใจตนเอง ... ประสบการณ์แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ น่านะ ครั้งหนึ่งในชีวิตเชียวนะ วิ่งฝ่าดงอึดงฉี่ เสียดายไม่มีใครถ่ายวิดีโอไว้ ท่าทางเราคงเหมือนพระเอกหนังบู๊วิ่งฝ่าดงกระสุนดงระเบิดเชียวล่ะ
หลอกตัวเองแล้วผมก็เดินลงที่ฝั่งตรงข้ามเพื่อมุ่งหน้าไปเกสต์เฮาส์ชื่อดังของที่นี่ International Guest House พอไปถึงปรากฏว่าห้องเต็ม เห็นฝั่งตรงข้ามมีตัวสำรองชื่อ Mother Guest House จึงไปถามราคาและขอดูห้อง คืนละห้าร้อยรูปีเอง โอเคเลยครับ แม้อยู่ติดถนนใหญ่แต่ผมมีที่อุดหูมา ซึ่งขอบอกว่าของจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเที่ยวอินเดีย
ระหว่างทางเจอโบสถ์สวยด้วยครับ จึงถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก
สาวงามกับโบสถ์สวย
พอนดิเชอร์รี หรือ พอนดี้ มีฉายาว่า ฝรั่งเศสน้อย เพราะฝรั่งเศสเข้ามาที่นี่ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 จนกลายเป็นเขตปกครองไปในที่สุด แม้อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2490 แต่ฝรั่งเศสยังคงปกครองพอนดี้ต่อมาอีก 7 ปี ก่อนให้เอกราชแก่เมืองนี้ ด้วยเหตุนี้ พอนดี้จึงเป็นเมืองชายหาดที่มีกลิ่นอายฝรั่งเศส เป็นกลิ่นอายแบบอายเป็นอายตายเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอาคารใกล้ชายหาดที่มีแต่ตึกฝรั่ง ขนาดตำรวจยังสวมเครื่องแบบที่มีหมวกสีแดงสไตล์ฝรั่งเศส
ขนมปังฝรั่งเศสก็มีครับ ผมซื้อแต่ไม่ได้กิน เพราะคนขายเจตนาดีใช้มือบีบขนมปังอยู่หลายครั้งแล้วบอกผมว่าเปลือกมันแข็งนะ มือคนขายดำปี๋เลยครับ แถมเป็นมือที่ใช้หยิบจับเงินอยู่ทั้งวันอีกด้วย ผมรับมาแล้วตัดสินใจไม่กิน ให้ขอทานไป
แต่อย่านึกเชียวนะครับว่าที่นี่จะเป็นฝรั่งเศสน้อยจนไม่เหลือความเป็นอินเดีย ขอบอกว่าคนอินเดียไม่ยอมหรอกครับ ฉันเป็นเจ้าของประเทศนะ ความเป็นอินเดียต้องมาก่อนนะจ๊ะนายจ๋า ฝรั่งเศสน้อยสำหรับจึงเป็นแค่ “เศษฝรั่ง” แค่เศษเสี้ยวที่เห็นแถวชายหาด ที่เหลือก็ “อินเดี๊ยอินเดีย” เหมือนเดิม ที่ชัดเจนสุดคือการบีบแตรบนถนน ... บีบกันดัง บีบกันทุกคัน และบีบกันทุกลมหายใจ ถึงขนาดขี้หูผมไหลออกมากองข้างถนนแข่งกับขี้วัว แถมได้ที่พักติดถนนใหญ่อีก โชคดีพกที่อุดหูของ 3M ทำด้วยโฟมสีส้มใช้ดีมาก กันเสียงได้เกือบร้อย จึงหลับสบาย ... อย่าลืมนะครับ มาเที่ยวอินเดียพกที่อุดหูมาด้วย
ผมจึงตั้งคำขวัญให้เมืองนี้ว่า พอนดิเชอร์รี่ ฝรั่งเศสจัดให้ อินเดียจัดเต็ม
ด้วยเหตุนี้การเที่ยวเมืองพอนดี้จึงคุ้มค่าคุ้มเงินเพราะซื้อหนึ่งแถมสอง ได้ทั้งบรรยากาศ “เศษฝรั่ง” และทมิฬนาฑู ... สำหรับ “อินเดี๊ยอินเดีย” ที่ประทับใจผมมากที่สุดคือพิธีแห่เทพเจ้า นักแสดงที่เดินนำขบวนแต่งตัวแต่งหน้าได้อย่างงดงามมีศิลปะอย่างยิ่ง
นอกจากงานแห่เทพเจ้าแล้ว “อินเดี๊ยอินเดีย” ที่ผมประทับใจเป็นอันดับสองคือ “ตลาดสดแห่งพอนดี้” เหมือนรวมโบ๊เบ๊กับปากคลองตลาดไว้ด้วยกัน จึงมีขนาดใหญ่มากและมีชีวิตชีวามากด้วย
ภายในตลาดสดแห่งพอนดี้
แม่ค้ายิ้มหวานแห่งตลาดสดพอนดี้
พ่อค้าขายดอกไม้ในตลาดสดแห่งพอนดี้
สตาร์บัค เอ๊ย ร้านเบเกอรี่แถวตลาดสดพอนดี้
สาวๆ แห่งพอนดี้มาช้อปปิ้ง
“อินเดี๊ยอินเดีย” ที่ผมประทับใจเป็นอันดับสามคือวัด ผมมีโอกาสเที่ยวชมสองวัด วัดแรกคือ Sri Manakula Vinayagar Temple วัดนี้สร้างถวายแก่พระพิฆเนศ ฝรั่งเศสเคยพยายามทำลายวัดนี้ แต่สู้แรงต่อต้านของชาวฮินดูไม่ได้ วัดจึงอยู่รอดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพอนดี้มาจนถึงทุกวันนี้
มุมมองต่างๆ ภายในวัดที่มีท่านเจ้าของวัด (พระพิฆเนศ) อยู่เสมอ
ร้านขายดอกไม้หน้าวัด
โคปุรัมที่ทางเข้าวัดนะครับ อย่าเข้าใจว่าเป็นลานขายมอเตอร์ไซค์
กินอิ่มมีแรงแล้วไปเที่ยวชมในส่วนที่มีกลิ่นอายฝรั่งเศสกัน ผมขอเริ่มต้นที่โบสถ์ The Basilica of the Sacred Heart of Jesus สถาปัตยกรรมแบบโกธิค สร้างเสร็จในเดือนมกราคมปี 2451 นั่นคือมีอายุ 108 ปี ตอนผมไปเที่ยวชม
จากนั้นเดินออกไปที่ชายหาด ชมประภาคารโบราณ อนุสาวรีย์มหาตมะคานธี แต่ไม่ประทับใจเท่าอาคารที่ฝรั่งเศสสร้างไว้ ถ่ายภาพมาให้ดูกันครับ