เรื่องเล่าจากอดีต…กับตำนานหน้ากากอันน่าสะพรึงที่สุดในประวัติศาสตร์!
เรื่องเล่าจากอดีต…กับตำนานหน้ากากอันน่าสะพรึงที่สุดในประวัติศาสตร์!
เรื่องเล่าจากอดีต!? พบกับ 5 ตำนานหน้ากากอันน่าสะพรึงที่สุดในประวัติศาสตร์….เพราะเหตุใด!
หน้ากากอำพรางตัว : หลังพระเจ้าชาร์ลส์ที่สองกลับสู่ราชบัลลังก์ ทำให้ อเล็กซานเดอร์ เพเดน แห่งนิกายเพรสไบทีเรียนในสกอตแลนด์ถูกหมายหัว เพราะเพเดนเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกบฏของสกอตแลนด์ เป็นเวลากว่าสิบปีที่เพแดนใช้หน้ากากดังภาพอำพรางใบหน้า และสวมวิกยาว เมื่อเพแดนถูกจับได้ เขาจึงถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินอเมริกาและมาอาศัยอยู่ภายในถ้ำ
ในตอนแรกทางการอังกฤษต้องการนำศพของเพแดนมาแขวนคอประจาน แต่ความคิดดังกล่าวถูกยกเลิกไป ก่อนนำศพของเพแดนมาฝังใต้ลานแขวนคอเท่านั้น
หน้ากากกันสะเก็ดไฟ : ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รถถังถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในสงคราม ดังนั้นรถถังในยุคแรก ๆ จึงยังเคลื่อนที่ช้าและไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก นอกจากนี้ตัวถังของมันยังเป็นเหล็กที่ทาด้วยสีผสมตะกั่ว จึงทำให้เกิดสะเก็ดไฟได้ง่ายหากถูกระดมยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเล็ก ทหารอังกฤษจึงสร้างหน้ากากที่ทำจากหนังและโซ่ถักเพื่อช่วยป้องกันสะเก็ดไฟ
แต่สุดท้ายหน้ากากที่สร้างขึ้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะความร้อนในห้องโดยสารสูงถึง 50 องศาเซลเซียส และยังเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่สำคัญด้วยความใหญ่โตเทอะทะของมัน จึงทำให้มันกลายเป็นเป้าปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้าม
หน้ากากปิดตาปริศนา : ในปี ค.ศ.1986 มีการค้นพบร่างที่ไร้วิญญาณของชายสองคนที่อยู่ในพงหญ้า ก่อนทราบชื่อว่าเป็น มิเกล โชเซ และ มาโนเอล เปเรย์รา ดา ครูซ โดยที่ทั้งคู่ยังสวมชุดสูทและหน้ากากปิดตาสีดำสนิท และข้างศพมีโน้ตที่มีเนื้อหาไม่ชัดเจนว่า ‘ถึงพื้นที่เวลา 16.30 น. กลืนแคปซูลเวลา 18.30 น. เมื่อยาออกฤทธิ์ให้สวมหน้ากากและรอสัญญาณ’
จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดของชายสองคนนี้ บ้างก็ลือว่าทั้งคู่อาจทดลองติดต่อกับ UFO ด้วยการใช้ยากล่อมประสาทจนเกิดขนาด
หน้ากากหมอกาดำ : ชุดหน้ากากหมอกาดำถูกพัฒนาโดยนายแพทย์ ชาร์ล เดอ ลอง ในปี ค.ศ.1619 เป็นชุดป้องกันที่ประกอบด้วยถุงมือหนัง หมวกและชุดคลุมที่ทำจากหนังที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก หน้ากากที่ว่ามีลักษณะคล้ายใบหน้าของนก โดยภายในมีการใส่น้ำหอมไว้ที่บริเวณรูจมูก ต่อมาหน้ากากดังกล่าวกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคกาฬมรณะ หรือยุคที่มีกาฬโรคระบาดอย่างรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 200 ล้านคน
โดยแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยกาฬโรค จะสวมชุดป้องกันนี้เข้าไปในพื้นที่อันตราย โดยมีไม้เท้าติดตัวไปด้วยเพื่อใช้ป้องกันผู้ป่วยให้ห่างจากตัว
หน้ากากเนื้อมนุษย์ : เอ็ด กีน เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีชีวิตในวัยเด็กที่น่าสงสาร เพราะเขามักถูกแม่ที่เคร่งศาสนาทำร้ายทุกครั้งที่เขาพูดคุยหรือเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ จนทำให้เขากลายเป็นผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับแม่ของเขามากกว่าอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่น หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตไปในปี ค.ศ.1945 ทำให้กีนต้องการเป็นแม่ของเขาเสียเอง ดังนั้นกีนจึงทำการขโมยศพจากสุสานเพื่อสร้าง ‘ชุดผู้หญิง’ และก่อเหตุฆาตกรรมผู้หญิงอย่างน้อยสองราย เพื่อแล่เอาผิวหนังใบหน้ามาทำเป็นหน้ากากไว้สวมใส่
…ตอนที่ตำรวจเดินทางเข้าไปตรวจสอบภายในบ้านของกีน เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถึงกับผงะเมื่อพบว่าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยโครงกระดูกและชิ้นส่วนของมนุษย์!