เลิก "รับน้องใหม่" มา "รับเพื่อนใหม่" กันเถอะ
AREA แถลงฉบับนี้เป็นบทความของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th)
ปีแล้วปีเล่า มักมีข่าวการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการ "รับน้องใหม่" กันไม่เคยขาด และทุกอย่างก็เงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง นี่คือความคิดเลวๆ ที่สั่งสมมารุ่นต่อรุ่นด้วยการให้ท้ายของพวกอาจารย์ ลองคาดโทษว่าจะปลดอธิการฯ คณบดี หากเกิดเหตุแบบนี้ รับรองว่าปัญหาจะไม่เกิดแน่ แต่เรายังพึงขุดรากถอนโคนแนวคิดเลวๆ ในการรับน้องใหม่
ผมขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะ "เพื่อนใหม่" มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2519 หรือเมื่อ 40 ปีก่อน ในปีนั้นผมควรเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.5 แต่พอดีสอบเทียบได้ ที่ธรรมศาสตร์ในยุคนั้น เขาทำการ "รับเพื่อนใหม่" โดยนั่งรถบัสไปใช้ มศว.บางแสนเป็นที่รับเพื่อนใหม่ 3 วัน 2 คืน เราถือว่าคนมาใหม่เป็น "เพื่อน" ไม่ใช่ "น้อง" ที่ถือเป็น "เพื่อน" ก็เพื่อความเท่าเทียมบนพื้นฐานที่มีเสรีภาพ เสมอภาค (ทางความคิด) และภราดรภาพ (ความเป็นพี่น้องกัน) แต่เราต้องให้เกียรติผู้เป็นน้องว่ามีความคิดเป็นของตนเองบนพื้นฐานที่เสมอภาคนั่นเอง
มีบางคนบอกระบบโซตัสที่มีการ "ว้าก" กระทำการรุนแรง เพี้ยนๆ เป็นการกระทำที่ดี เพื่อฝึกให้ออกไปสู่สังคมภายนอกที่โหดร้ายได้ นี่เป็นเพียงข้ออ้างส่งเดช การปฏิบัติกันอย่างเท่าเทียม ก็สามารถให้คนปรับตัวเข้ากับสังคมได้ ระบบโซตัสคงสอนให้เรายินยอมและทนกับการกดขี่ขูดรีดในสังคมต่างหาก เบื่อเมาให้เราไม่รู้จักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และยอมรับการเอาเปรียบกัน พวกที่เคยชินกับระบบนี้ ก็ออกไปเป็นสวะสังคม สร้างระบบสถาบันนิยม "เล่นเส้น" กันแต่พวกที่จบมาจากสถาบันเดียวกันมา สร้างความคับแคบทางจิตใจ สร้างความแตกแยกในองค์กร
การกระทำที่โหดร้าย ป่าเถื่อน เพี้ยนๆ ต่าง ๆ ที่กระทำมารุ่นต่อรุ่น ไม่ได้สร้างความประทับใจได้เท่ากับการรู้จักให้เกียรติกัน แสดงออกถึงการตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรู้จักรับฟัง การใส่ใจกันโดยไม่ได้ถือเป็นหน้าที่ตามระบบโซตัส แต่มาจากการสร้างจิตสำนึกที่ดีงาม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการเห็นผู้มาใหม่เป็น "เพื่อนใหม่" ไม่ใช่ "น้อง" หรือ "เหยื่อ" คนใหม่ เพื่อส่งเสริมสังคมประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่แบบเผด็จการทรราช เราจึงต้องเลิกระบบเลวๆ นี้
ระบบไร้สาระนี้มักพยายามสร้างความศักดิ์สิทธิ์ที่เหลวไหลไร้แก่นสาร เช่น มีนักศึกษาอยู่คณะหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีข้อกำหนดไว้ว่านักศึกษาชั้นปีที่ 1-2 จะไม่สามารถเดินขึ้นตึกหลักของคณะทางประตูหน้าได้ ต้องเข้าทางประตูข้าง ประตูหน้านี้มีไว้ให้พวกรุ่นพี่ปีที่ 3 ขึ้นไปเท่านั้น และในยุคเผด็จการทรราชตั้งแต่ปี 2500 ก็ถือความเพี้ยนนี้เป็นสรณะเรื่อยมา จนถึงรุ่นเสรีประชาธิปไตย นักศึกษาปี 1 ก็รวมตัวกันเดินขึ้นตึกทางด้านหน้า ทำลายธรรมเนียมชั่วนี้ การนี้ทำให้พวก "รุ่นพี่" ทาสความคิดที่ปล่อยไม่ไปบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาเลยทีเดียว
ระบบการรับน้องเลวทรามเช่นนี้สืบทอดความน้ำเน่ากันมา เฉกเช่น ปัญหา "แม่ผัว-ลูกสะใภ้" ที่หญิง (เฉกเช่น นักศึกษาปี 1) มักดูน่าสงสารในสถานะเป็นลูกสะใภ้ แต่กลายเป็นปีศาจในสถานะของ "แม่ผัว" (เมื่อขึ้นปีที่ 3-4 เป็นต้นไป) แนวคิดแบบนี้เป็นอวิชชา เราพึงสอนสั่งให้เยาวชนได้เรียนรู้แนวคิด "เสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพ" ไม่ใช่ไปชื่นชอบแนวคิดแบบเจ้าขุนมูลนาย และโตไปกับระบบเส้นสายอันแสนอัปยศ สร้างความเสื่อมเสียให้กับประชาชนและประเทศชาติ
ยิ่งกว่านั้นในอีกแง่หนึ่งพวกอาจารย์ในสถาบัน ในคณะต่าง ๆ ที่มักเกิดปัญหา ก็มักเป็นพวกเดียวกัน เป็นศิษย์เก่าแบบ "น้ำเน่า" เดิมๆ มาเหมือนกัน จึงไม่คิดห้ามปราม และออกจะส่งเสริมให้รักษาประเพณีทาสความคิดแบบเดิม ๆ นี้ไว้ ดังนั้นหากจะแก้ไข ก็ต้องจัดการกับพวกอาจารย์เหล่านี้ด้วย หากมีการคาดโทษให้ชัดเจน ว่ามหาวิทยาลัยใด คณะใด ที่เกิดปัญหาขึ้น ตำแหน่งอธิการฯ คณบดี ต้องหลุดเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบด้วย รับรองว่า โอกาสเกิดปัญหาคงจะน้อยลงทันตาเห็น
ที่ผมคิดว่าอาจารย์นั้นสำคัญก็เพราะ ในสมัยผมสอบเข้าปีหนึ่งธรรมศาตร์ มีอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี อาจารย์เสน่ห์ จามริก อาจารย์นงเยาว์ ชัยเสรี เป็นรองอธิการบดี และได้ "รองพื้น" หรือรองอธิการบดีฝ่ายวิชาพื้นฐานคือ อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ท่านเหล่านี้เป็นนักประชาธิปไตยในสมัยนั้น (สมัยนี้อาจเป็นอีกเรื่อง) ลูกศิษย์จึงไม่ดักดาน มีความคิดที่เป็นเสรี ดังนั้นอาจารย์จึงมีส่วนสำคัญ
ระบบรับน้องแบบเลว ๆ นั้น นอกจากไม่ได้สร้างสรรค์แล้ว ไม่ได้ส่งเสริมวิธีคิดที่ดีแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดการแบ่งแยก และมองเฉพาะตนเองเป็นใหญ่ แผนกเราเป็นใหญ่ คณะเราเป็นใหญ่ สถาบันของเราเป็นใหญ่ จึงไม่แปลกใจที่ในยุคเผด็จการทรราช ในระดับมหาวิทยาลัย ยังมีการยกพวกตีกันระหว่างนักศึกษาคณะหนึ่ง กับอีกคณะหนึ่งทั้งที่อยู่ในสถาบันเดียวกัน นี่คือความเน่าใน-น้ำเน่าของระบบรับน้องใหม่โดยแท้
ชูความคิดประชาธิปไตย แล้วรับเพื่อนใหม่ดีกว่าครับ