"คน" คือสัตว์ประเสริฐ!!! จริงหรือ...???
ขอบคุณภาพจาก http://xfile.teenee.com/
คน...
ในมุมมองของคนส่วนใหญ่มักจะขีดเส้นใต้เอาไว้ว่า "คนคือสัตว์ประเสริฐ คือสัตว์ที่เลิศด้วยสติและปัญญา" คือคนเรานั้นมีกายภาพและจิตวิญญาณ อันเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าสัตว์ทั่วๆไป คนจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่บางทีก็พบว่ายังมีคนส่วนหนึ่ง ที่ไม่สามารถจะควบคุมกาย วาจาและใจ ให้อยู่ในสติปัญญาเหนือกว่าสัตว์ได้ แล้วยังจะสามารถเรียกผู้คนเหล่านี้ว่าเป็น "คน" ได้หรือไม่?
ยังเป็นคำถามที่ค้างคาใจของใครหลายๆคน....
แต่ในที่นี้ "คนสารพัดขี้" ขอให้คำจำกัดความเอาไว้แค่ว่าเป็น "สัตว์" ชนิดหนึ่ง ซึ่งประกอบขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ ไม่ต่างไปจากสัตว์ทั่วๆไป แต่จะประเสริฐหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง !!!
เพราะเวลาที่พระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์ บุคคลที่พระองค์มุ่งหมายไปหามากที่สุด ก็คือมนุษย์ ( ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ) เพราะสัตว์เดรัจฉานนั้น ไม่สามารถจะฟังธรรมได้ แต่พระองค์ก็ตรัสว่า "ไปโปรดสัตว์" ไม่ได้ตรัสว่าไปโปรดคน ์ ก็แสดงว่า "คน" ก็คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่อยู่บนโลกใบนี้
องค์ประกอบของ "คน"
คนก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานทั่วๆไป คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีกายกับใจ ซึ่งผมจะขอแยกย่อยรายละเอียดเหล่านั้น ให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ข้อดีของร่างกายคน
ร่างกายของคนเรานั้น มีจุดเด่นอันมีลักษณะที่เหนือกว่าสัตว์ทั่วๆไปมาก เนื่องจากสัตว์แต่ละชนิดที่อาศัยอยู่บนโลกเดียวกันนี้ มักจะมีกายภาพเป็นแนวขวาง คือ ขวางทางเจริญ ขวางทางความเป็นมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งต่างจากคนที่มีกายภาพเป็นแนวดิ่ง ดูมั่นคงและสง่างามมากกว่า หากเปรียบกับบ้านเรือน ร่างกายของคนเราก็เป็นบ้านเรือน ที่สวยงามกระทัดรัด มีห้องหับให้ใช้สอยได้อย่างเต็มที่ ไม่ใหญ่เกินไป และไม่เล็กเกินไป สามารถทำความสะอาดและซ่อมแซม้ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา และผิวพรรณ
1.รูปร่าง...เป็นโครงสร้างที่สวยกระทัดรัด สามารถเดินเหินได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว ลดภาระของการแบกร่างกายของตนเอาไว้ให้เหน็ดเหนื่อย หรือทนเลื่อยคลานไปแบบไม่มีแขนขา หากเปรียบเทียบกับลำตัวของควาย ก็ย่อมอำนวยความสะดวกได้ดีกว่าเป็นสิบๆเท่าเลยทีเดียว เพราะลำตัวของควายนั้นใหญ่เกินกว่าขามาก ควาย ต้องแบกรับน้ำหนักของตัวเองไว้อยากเหน็ดเหนื่อย การเคลื่อนไหวของควายจึงค่อนข้างจะเชื่องช้าผิดปกติ ณ จุดนี้ แม้คนจะมีสรีระที่ไม่น่าดูชมสักเพียงใด ก็ยังนับว่าโชคดีกว่าการเกิดมาเป็นควายหลายร้อยเท่า
2.หน้าตา...หน้าตาของคนเราก็มีความเกลี้ยงเกลาเหนือกว่าสัตว์ เพราะไม่มีขนที่หยาบหรือหนาเกินไป ต่างจากสิงห์สาราสัตว์ทุกชนิด ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยขนและหนวดที่ยาวเฟื้อย สร้างความหงุดหงิด งุ่นง่าน รำคาญใจในการดำรงชีวิต สัตว์บางตัวต้องแบบรับความหนักหน่วงอันเกิดจากอวัยวะน้อยใหญ่ที่อยู่บนใบหน้า เช่นควาย ( อีกตามเคย ) ควายมีเขาสองข้างที่น่าจะหนักพอควร ในขณะเดียวกันปากก็ยาวและใหญ่ผิดปกติ ก็น่าจะหนักด้วยเช่นกัน ดังนั้น ใบหน้าของคนจึงเอื้ออำนวยความสะดวกกว่าสัตว์ทุกชนิดมาก และสามารถชะล้างสิ่งสกปรกได้อย่างง่ายดาย
3.ผิวพรรณ...จุดเด่นของผิวพรรณมนุษย์คือ ไม่หนา ไม่บาง และไม่หยาบกระด้างจนเกินไป ทำให้สามารถป้องกันมลภาวะได้ดี และระบายความร้อนได้อย่างเหมาะสม แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะบ่นร้อนบ่นหนาวเป็นตุเป็นตะ แต่ก็ยังโชคดีกว่าสัตว์ทั่วไปอีกเหมือนกัน หากเทียบกับควายที่มีผิวหนังที่หนาและหยาบกระด้าง ทำให้ช่องทางระบายความร้อนที่มีอยู่ในลำตัวไม่อาจจะระบายออกมาได้อย่างปกติ ควายก็น่าจะได้รับความลำบากเหนือกว่าคนทั่วๆไปอีกเช่นกัน ไม่เพียงแค่นั้นผิวพรรณของคนยังได้รับความเกลี้ยงเกลา แม้จะมีขนติดอยู่ตามเนื้อตัวบ้าง แต่ก็เป็นขนที่ละเอียดมากกว่า
และนี่ก็คือข้อดีของร่างกายคน
ข้อเสียของร่างกายคน
แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะมีลักษณะทางกายภาพภายนอกที่สวยสดงดงาม น่าดูชมปานใด แต่ภายในร่างกายของคนเรานั้น ก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ชนิดอื่น คือเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก โสโครก และอุดมไปด้วยมูสคูถ น้ำเหลืองน้ำหนอง ซึ่งไม่น่าอภิรมย์ นั่นหมายความว่า ถึงจะมีความสวยงามเหนือกว่าสัตว์ แต่คนก็ยังต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย ในที่สุด ดังนั้น...การใช้ชีวิตอยู่ในร่างของมนุษย์นี้ก็ไม่ควรที่จะประมาท เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะต้องแก่ เจ็บ หรือตายก่อนไว้อันควรด้วย
และข้อเสียทางกายภาพนี้ ยังบ่งบอก ถึงธรรมชาติเชิงจิตวิญาณของคนเราด้วย เพราะปกติวิสัยของมนุษย์นั้น มักจะปิดบังซ่อนเร้น เอาสิ่งเหม็นเน่าหรือข้อเสียของตัวเองไว้ในใจ ไม่ยอมให้ใครได้รับรู้ แล้วเอาเรื่องราวที่ดีที่สุดของตัวเอง ออกมาตีแผ่ จนเป็นเรื่องปกติ... กายภาพที่ได้มา จึงเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณ อย่างไม่บิดพริ้ว
ข้อดีของจิตวิญญาณ
ธรรมชาติของคนเรานั้นมีสติและปัญญาเหนือกว่าสัตว์ทั่วๆไป คนจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย และเสาะแสวงหา หนทางของการพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด ทั้งยังสามารถฝึกจิตได้ดีกว่าด้วย ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยสติปัญญาเป็นตัวชี้นำ
1.สติ...คือการระลึกรู้ตัวอยู่ในปัจจุบันขณะเสมอ ทำให้ผู้คนสามารถควบคุมกาย วาจา ใจได้ดีกว่าสัตว์ รู้เหตุรู้ผลในสิ่งที่กำลังคิดทำ ซึ่งต่างจากสัตว์เดรัจฉานมักจะเอาอารมณ์ อันประกอบไปด้วยความรักและใคร่ เป็นตัวบงการในการดำรงชีวิต สัตว์เดรัจฉานจึงไม่ค่อยจะใส่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำลงไปนั้น ถูกผิดหรือไม่
2.ปัญญา...คือแสงสว่าง คือความรู้แจ้งเห็นแจ้งในจิตวิญญาณ ทำให้มนุษย์ทั่วๆไปรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ออกจากกันอย่างชัดเจน รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรบุญอะไรบาป อะไรควรอะไรไม่ควร เป็นต้น ซึ่งต่างจากสัตว์ที่ไม่สามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อีกเช่นกัน
ข้อเสียของจิตวิญญาณ
แม้คนจะเป็น "สัตว์" ที่มีสติและปัญญา แต่ภายในจิตใจของคนเรานั้น ก็อุดมไปด้วยกิเลส ตัณหา และราคะ อันเป็นธาตุละเอียดที่นำพาจิตใจของคนเราให้เป็นทุกข์ ทำให้ประสบกับปัญหาและอุปสรรค ที่ยากจะหาทางแก้ไขได้ จนบางครั้งจำต้องเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ให้ได้รับความทุกทรมานไปด้วยเช่นกัน และแผ่ขยายความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้เพิ่มขึ้นได้อีก
เพราะฉะนั้นแม้คนเราจะมีสติและปัญญาเหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่น ก็ไม่ควรที่จะประมาทในการดำรงชีวิตด้วยเช่นกัน เพราะกิเลสที่อยู่ในใจของคนเรานั้น ทำงานอยู่ทุกเวลานาที แบบไม่มีวันหยุดหย่อน "คน" จึงจำเป็นต้องอาศัยสติและปัญญาเข้าช่วยอยู่เสมอ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นงานที่หนักหนาสาหัสมากที่สุดแล้ว ในชีวิตของความเป็นคน
แต่ถ้าคนเราให้ความใส่ใจใน "ความไม่แตกต่าง!!!" มากกว่า "ความแตกต่าง!!!"
เมื่อนั้น...สันติภาพโลกก็จะเกิดขึ้น
http://thestupidarticles.blogspot.com/