นานกิง ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ
นานกิง ประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายที่สุดของมนุษยชาติ
มื่อเอ่ยชื่อ เมือง นานกิง หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยและยังไม่รู้จัก เมืองนี้ เช่นเดียวกับ
ตัวผมเอง แต่เมื่อผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เรื่อง ผู้หญิง เหยื่อในสงคราม จึงทำให้รับรู้ และ
รับทราบ ถึง เมืองนานกิง ได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ลึกซึ้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้
ย้อนหลังไปเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ญี่ปุ่น ชาติที่
ต้องการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of the Sun) ขึ้นโดยการรวบรวมชาติที่อยู่ใกล้เคียงตนให้ได้เสียก่อน เคราะห์ร้ายจึงตกกับ จีน แผ่นดินใหญ่ กับ เกาหลี
ช่วงนั้นเป็นเวลาที่จีน แตกฝ่ายเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่ามาก หากเทียบกับจีน สามารถเข้าตีและทำการยึดจีนได้ไม่ยากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะจีนต้องรับศึก 2 ด้าน คือ ต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง แล้ว ยังต้องมารบกับญี่ปุ่นอีก (เหมือนบางประเทศที่กำลังจะเป็นแบบนี้)
หลังจากญี่ปุ่นสามารถยึดจีนได้บางส่วน ก็พยายามจะรุกคืบไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีน
เพื่อการยึดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และ เมือง นานกิง ก็เป็นเป้าหมายของกองกำลังแดน
อาทิตย์อุทัย เหล่าทหารญี่ปุ่นใช้เวลาไม่นานนัก ก็สามารถบุกยึดเมืองนานกิง ได้เป็นผลสำเร็จ
ในการสงครามทุกสมรภูมิ ต้องมีเชลยศึก เช่นเดียวกับที่นานกิง และด้วยความที่มีเชลยศึกในเมืองนานกิง มากกว่า จำนวนทหารญี่ปุ่น จึงทำให้การควบคุมดูแล เป็นไปได้ยาก ทางกองกำลังญี่ปุ่นจึงมีนโยบาย ให้กวาดล้างเชลยศึกและประชากรในเมืองนานกิง ให้ได้มากที่สุด เพื่อลดจำนวนในการที่ต้องดูแล ทั้งการให้อาหาร ที่พัก ฯลฯ
ปฎิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จึงเริ่มขึ้น แต่ด้วยความที่เชลยนั้นมีมาก การที่ต้องกำจัดเชลยให้ได้ทีละมาก ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่ายทหารญี่ปุ่นได้ใช้หลาย ๆ วิธีในการกำจัดเชลย ไม่ว่าจะเป็น
การยิงทิ้ง ตัดคอ ผ่าท้องเชลย ตัดแขน ตัดขา เนื่องด้วยทหารญี่ปุ่นต้องการกำจัดเชลยให้ได้ถึงวันละ 2,000 คน!!!
ทหารญี่ปุ่นไม่มีการแยกเชลยศึก ไม่ว่าจะเป็น ทหาร หรือ ประชาชน เพราะทุกคนต้องถูก
ฆ่าเหมือนกันหมด บ้างใช้เชลยศึกเป็นที่ฝึกให้เหล่าทหารใหม่ ใช้ดาบปลายปืนแทง ใช้ซ้อมยิงเป้าใช้ดาบซามูไรตัดคอ ใช้น้ำมันราดจุดไฟเผา ใช้ปืนกลกราดยิง หรือ บังคับให้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานหน้าหลุม จากนั้นตัดคอแถวแรกแล้วให้แถวที่สองผลักลงหลุม แล้วแถวที่สองก็มายืนหน้าหลุมแทน
บางครั้งใช้วิธีฝังทั้งเป็น บางทีบังคับให้เดินลงไปในแม่น้ำแล้วโยนระเบิดมือใส่ ส่วนเหล่าบรรดาผู้หญิง พวกทหารญี่ปุ่นก็จะทำการข่มขืนก่อนแล้วจึงลงมือฆ่า และทหารก็ไม่ได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา หรือแม้กระทั่ง นักบวช แม่ชี ทหารญี่ปุ่นก็ไม่เว้น
การข่มขืนผู้หญิงในนานกิง เป็นไปอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อบาปใด ๆ เลย หญิงบางรายถูกทหารรุมข่มขืน มากกว่า 20-30 คน ก่อนจะถูกฆ่าทิ้ง การข่มขืนมีตลอดเวลา ตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็น กลางวัน กลางคืน แม้กระทั่งบนท้องถนน ก็มีการข่มขืนหญิงจีน โดยไม่สนใจใคร
อีกหนึ่งความเลวร้ายของทหารญี่ปุ่น ก็คือ ต้องการพัฒนาอาวุธเคมี เพื่อต้องการใช้ใน
การสงคราม โดยจะใช้เหล่าบรรดาเชลยศึก เป็นหนูทดลอง การทดลองต่าง ๆ ของทหารญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลก ว่ามีความสามานย์ในระดับหาใครทำเช่นนี้ไม่ได้ หรือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของเยอรมันกลายเป็นเรื่องเด็ก ๆ ไปได้เลย โดยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้
- นักโทษจะถูกตัดแขน ตัดขา แล้วปล่อยให้เลือดไหลจนหมดตัว เพื่อดูว่าร่างกายจะเป็นเป็นอย่างไร ทนได้แค่ไหน
- ตัดแยกชิ้นส่วนอวัยวะออกมา แล้วนำไปติดในส่วนอื่น ๆ เช่น สลับแขนซ้ายกับขวา สลับมือกับเท้า
- นำเชลยมาแช่แข็ง เพื่อศึกษาเรื่องเนื้อตายจากความเย็น
- ฉีดเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย แล้วเพาะเอาเชื้อเพื่อทดลองหาวัคซีนแก้
- นำนักโทษมาให้สัตว์ดูดเลือด เช่น เห็บ หมัด จำนวนมากกัด เพื่อดูผลจะนำไปสร้างอาวุธเชื้อโรค
- จับเชลยมาห้อยหัวจนกว่าจะตาย
- ฉีดอากาศเข้าไปในเส้นเลือดจนกว่าจะตาย
- นำปัสสาวะม้าฉีดเข้าไปในตับนักโทษ
- ฉีดเลือดสัตว์เข้าไปในร่างกายเพื่อดูผล
- จับมาหมุนและเหวี่ยงจนกว่าจะตาย
นี้เป็นเพียงบางส่วนที่ทหารญี่ปุ่น ได้กระทำลงไป ที่ผมนำเรื่องราวของนานกิง มาเผยแพร่ไม่ได้มีความต้องการที่จะประจานการกระทำของทหารญี่ปุ่น แต่ต้องการนำความจริงที่ มนุษย์เคยทำกับมนุษย์ด้วยกัน มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์
เพราะการนำความจริงอันโหดร้ายมาเปิดเผยย่อมมีคุณค่าแก่โลก มากเสียกว่าคำโกหกหลอกลวงอันหอมหวานอย่างแน่นอน สิ่งที่ผมต้องการเพียง สันติภาพ
สันติภาพ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน