ชาร์ค สตาร์คเวเธอร์ และ คาริล ฟูเกต คู่รักจอมโหด
นอกจากบอนนี่แอนด์ไคล์แล้วในอเมริกายังมีคู่รักนักปล้นที่โด่งดังอีกหนึ่งคน ในช่วงยุคต่อมา ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นคู่รักนักปล้นที่โด่งดังที่สุดและโหดเหี้ยมที่สุดคู่หนึ่งในอเมริกาและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังหลายเรื่องโดยเฉพาะหนังที่กล่าวกันว่า อันตรายที่สุดในโลกอย่าง Natural Born Killers ของโอลิเวอร์ สโตน ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวของคู่รักนักปล้นอย่าง ชาร์ค สตาร์คเวเธอร์ และ คาริล ฟูเกต
.
ชาร์ลเป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ต้องปากกัดตีนถีบมาตลอด แมของเชามีลูกถึงเจ็ดคน โดยเขาเป็นคนที่สาม ด้วยเหตุผลว่ามีพี่น้องมาก แม่ของเขาจึงแทบไม่มีเวลาดูแลเขามากนัก ชาร์ลกลายเป็นเด็กเหลือขอที่วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ปาร์ตี้ กินเหล้าเมายาไปจนกระทั่งเขาอายุ 18 ปี เขาได้พบกับ คาริล เด็กสาวจากครอบครัวมีปัญหาและคบหาเป็นแฟนกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะรวมกันก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่ที่สื่อมวลชนหลายคนบอกกันว่า
.
“พวกเขาคือ บอนนี่แอนด์ไคลด์แห่งยุค 50 “
.
กระนั้นเองหลายคนส่ายหน้าแล้วบอกว่า สองคนนี้เป็นแค่เด็กมีปัญหาสองคนเท่านั้น กระนั้นเองทั้งคู่ก็เป็นเสมือนการปรากฏตัวของยุคสมัยใหม่ที่กำลังก้าวเท้าล่วงเข้ามา
.
ทั้งคู่เริ่มต้นการฆาตกรรมครั้งในแรกในปี 1957 ที่ลินคอล์น เหยื่อคนแรกของพวกเขาคือ โรเบริ์ต โคเวริ์ท เด็กปั้มวัย 21 จนตาย หลังจากมีปากเสียงกับเขาเรื่องที่ปฏิเสธการซื้อขายหนังสัตว์ที่เขาต้องการ เมื่อสบโอกาสตอนกลางคืน ตัวของชาร์ลได้กลับมาพร้อมกับปืนลูกซองแล้วปล้นเงินไป 100 ดอลลาร์ จากนั้นก็ทำร้ายโคเวริ์ทจนเสียชีวิต นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปล้นของเขา
.
เขาสารภาพเรื่องนี้กับคาริลแฟนของเขา ทว่า คาริลนี่เองที่สนับสนุนให้เขาช่วยเธอฆาตกรรมพ่อแม่เลี้ยงและพี่สาวน้องสาวอย่างโหดเหี้ยมก่อนที่ทั้งคู่จะออกเดินทางไปด้วยกัน
.
ซึ่งพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง และ พี่สาวของคาริลนั้นเป็นเหยื่อรายที่ 2-4 ในการฆ่าของพวกเขา ก่อนจะขึ้นรถออกเดินทางหนีการจับกุมไปด้วยกัน
.
แน่นอนว่า ทั้งคู่นั้นได้ทำการฆ่าคนรายทางไปจำนวนมาก มีคำกล่าวว่า ทั้งคู่สังหารคนไปกว่าไปถึง 11 ศพในระยะเวลาเดินทางทั้งหมดในเวลาสองเดือน พวกเขาหลบซ่อนตัวตามโรงแรมต่าง ๆ และออกเดินทางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถูกจับกุมได้ในปี 1958
.
ทว่าชะตากรรมของคู่รักคู่นี้ไม่สวยงามรักใคร่แบบบอนนี่แอนด์ไคล์แต่อย่างใด เมื่อถูกจับกุมตัวคาริลได้โยนความผิดทุกอย่างให้กับชาร์ล และบอกว่า เธอจำใจไปกับเขาเพราะถูกข่มขู่ ส่วนชาร์ลนั้นบอกว่า เขาไม่ได้ตั้งใจฆ่าเหยื่อแต่อย่างใด พวกเขาต่อสู้และชัดขืนจนเขาต้องป้องกันตัวต่างหาก ทว่า คาริลกลับบอกว่า เขาฆ่าเหยื่แด้วยความสนุกเท่านั้นแม้เธอจะห้ามปรามแล้วก็ไม่ฟังอยู่ดี
.
แน่นอนว่า ตัวของชาร์ลนั้นไม่อยากคิดว่า แฟนของเชาจะหักหลังกันลงคอ กล่าวกันว่า เขาเจ็บปวดที่ทุกอย่างถูกโยนให้แบบนี้ มีรายงานเขาได้พูดกับทนายว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อเธอ แต่เธอกลับทิ้งเขาให้ต้องพบกับชะตากรรมอันแสนเศร้านี้เพียงคนเดียว (เรื่องนี้ไม่ได้รับการยืนยันว่า เขาเสียใจแบบนั้นจริงหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งที่ทนายกล่าวแต่ไม่ได้รับการยืนยันว่าจริง)
.
ชาร์ลได้โทษตัดสินประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในสองปีต่อ กล่าวกันว่าสภาพจิตใจของเขาแตกสลาย เขาบอกขอร้องให้เพชฌฆาตทำยังไงก็ได้ไม่ให้เขาเจ็บปวดมากที่สุดก็พอ แต่ทว่าเหมือนโลกจะเล่นตลกเมื่อผู้ทำการสับสวิตย์นั้นต้องใช้การสับทั้งหมดถึงสามครั้งทีเดียวกว่าเขาจะตาย
.
“เขาไม่ยอมตายซะที”
.
นี่คือสิ่งที่เพชฌฆาตกล่าวถึงเขา
.
ชาร์ลเสียชีวิตในวันที่ 25 มิถุนายน 1959 อย่างโดดเดี่ยวปิดตำนานคู่รักนักฆ่าแห่งยุค 50 ไปแบบเศร้าใจ
.
เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะ แฟนของเขาอย่างคาริลได้สารภาพโยนความผิดทุกอย่างให้เขาจนหมด ซ้ำยังบอกว่า เธอเขาจี้เป็นตัวประกันอีกต่างหาก ทว่า ศาลไม่ได้โง่ขนาดนั้นเพราะมีหลักฐานจำนวนมากบอกว่า เธอนี่แหละ บอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่าง ๆ และแน่นอนว่า เธอถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน
.
แต่...
.
เพราะเธอในตอนนั้นอายุ 14 ปีเท่านั้นทำให้เธอถูกละเว้นโทษประหารและถุกคุมขังจนกระทั่งในปี 1976 เธอถูกปล่อยตัวออกมาและเปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย
.
นั่นคือเรื่องราวของคู่รักจอมโหดที่ตอนจบช่างต่างราวกับฟ้าและเหวกับบอนนี่แอนด์ไคลด์เสียเหลือเกิน