หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

บ้านสิงคโปร์ล้นตลาด สอนอะไรเรา

เนื้อหาโดย doctorsopon

            ในขณะนี้บ้านในสิงคโปร์ล้นตลาดอยู่มาก เขาสร้างกัน "มันมือ" ในช่วงก่อน ตอนนี้เลยถือ "ติดมือ" ขายไม่ออกอยู่  เขาหาทางออกอย่างไร  ไทยจะเรียนรู้อะไรจากเขาได้บ้าง

            ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์นั้น

  1. เกือบทั้งหมดหมายถึงห้องชุดพักอาศัย โดยมีสัดส่วนถึง 94% (http://bit.ly/29XENnU) ที่เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์มีน้อยมาก เพียง 6% ทั้งนี้เพราะราคาที่ดินแพง โอกาสจะสร้างบ้านติดดินจึงมีอยู่น้อยมาก
  2. ประมาณ 74% ของที่อยู่อาศัยสร้างขึ้นโดย "การเคหะแห่งชาติ" ของสิงคโปร์ หรือ Housing Development Board ซึ่งกรณีนี้ต่างจากไทยที่การเคหะแห่งชาติของไทยสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ไม่ถึง 1% ของทั้งตลาด
  3. ที่อยู่อาศัยที่สร้างโดยภาคเอกชนนั้นส่วนมากซื้อที่ดินมา Urban Redevelopment Authority ของทางราชการมาสร้าง หรือไม่ก็ถมทะเลในกรณี เช่น เกาะเซ็นโตซา และมีสิทธิการเช่าที่ 99 ปี

            ในระหว่างปี 2559-2560 นี้สิงคโปร์มีที่อยู่อาศัยที่จะสร้างเสร็จรวม 31,362 หน่วย  แต่มีอยู่ 7,482 หน่วยหรือ 24% ที่ยังไม่มีคนซื้อ (http://bit.ly/29UhYOa)  การที่มีหน่วยสร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้ซื้อสูงถึงราวหนึ่งในสี่นี้แสดงถึงความไม่มั่นคงของตลาดที่อยู่อาศัยอยู่พอสมควร เพราะนั่นหมายความว่ากำไรของธุรกิจนี้จมอยู่ในตัวอาคาร ยังไม่สามารถนำมารับรู้รายได้ได้เท่าที่ควร  ความน่าวิตกจึงเกิดขึ้น

            ณ สิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา มีบ้านที่สร้างเสร็จโดยภาคเอกชนแต่ไม่มีผู้อยู่อาศัยสูงถึง 25,532 หน่วย หรือ 8.1% ของที่อยู่อาศัยภาคเอกชนทั้งหมด 315,210 หน่วย  จำนวนที่อยู่อาศัยรวมทั้งสิงคโปร์คือประมาณ 1,225,300 หน่วย  แต่เดิมที่อยู่อาศัยที่ภาครัฐสร้างมีสัดส่วนสูงถึง 85% และลดลงมาถึง 74% ในปัจจุบัน  ภาคเอกชนมีบทบาทในการสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้น  แต่ส่วนมากเป็นที่อยู่อาศัยราคาแพงที่ขายแค่คหบดีและชาวต่างชาติเป็นสำคัญ

            และก็ล้อตามกันไปก็คือค่าเช่าลดลง โดยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ค่าเช่าลดลงนับสิบเปอร์เซ็นต์ เฉพาะในปี 2558-2559 ค่าเช่าลดลง 3.1% (http://bit.ly/2a834G7)  กรณีนี้แตกต่างจากไทยที่ค่าเช่าที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยก็เท่าเดิม  ในสิงคโปร์ มีชาวต่างชาติย้ายเข้าไปอยู่เพิ่มขึ้น  แต่ค่าเช่ากลับลดลง ทั้งนี้เพราะสิงคโปร์ได้สร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเกินความต้องการของผู้ซื้อไปในระดับหนึ่งนั่นเอง

            ผู้ซื้อหลักของห้องชุดในสิงคโปร์ก็คือชาวจีนแผ่นดินใหญ่  แต่ภาวะตลาดขณะนี้อาจลดน้อยลงไปบ้างตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีน  นักลงทุนจากอินโดนีเซียก็ซื้อน้อยลง เพราะขณะนี้ตลาดที่อยู่อาศัยในอินโดนีเซียกำลัง "บูม"  การลงทุนจึงเน้นในประเทศเป็นหลัก  ส่วนนักลงทุนจากมาเลเซียก็ชะลอตัวลงเช่นกัน  นอกจากนั้นก็เป็นนักลงทุนจากประเทศอื่น ซึ่งยังถือว่าเป็นส่วนน้อย

            ด้วยเหตุนี้ นักพัฒนาที่ดินสิงคโปร์จึงออกไป "ลุย" ในต่างประเทศเป็นว่าเล่น เนื่องจากมีโอกาสพัฒนามาก โดยเฉพาะในกรุงจาการ์ตา กรุงมะนิลา กรุงพนมเปญ กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ซิตี้ เป็นต้น  จะเห็นได้ว่าบริษัทพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ไป "ยีดหัวหาด" ไว้เป็นอันมาก  ในขณะที่นักพัฒนาที่ดินไทยยังจดๆ จ้องๆ เพราะลำพังการพัฒนาที่ดินในประเทศไทย ยังมีโอกาสอยู่  แต่ขณะนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย ที่ภาวะฝืดเคืองกำลังเกิดขึ้น  นักพัฒนาที่ดินไทยโดยเฉพาะบริษัทมหาชนอาจมีความจำเป็นต้องออกไปพัฒนาที่ดินในต่างประเทศบ้าง

            การที่สิงคโปร์เป็นเสมือน "ศูนย์กลางทางการศึกษา" มีมหาวิทยาลัยดัง ๆ จากต่างประเทศมาเปิดสาขามากมาย  บางแห่งยังเปิดสอน MBA เป็นภาษาจีนอีกต่างหาก  จึงทำให้นักลงทุนจีนมาซื้อหาที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์เพื่อลูกหลานกันเป็นอันมาก  ส่วนกรณีของอินโดนีเซียนั้น เขามาเอาเงินมา "พัก" อยู่ที่สิงคโปร์  แต่เนื่องจากขณะนี้อินโดนีเซียกำลังบูม ประกอบกับรัฐบาลนิรโทษกรรมผู้ที่นำเงินออกไปนอกประเทศ สามารถนำกลับมาในประเทศได้โดยเสียค่าธรรมเนียมไม่มาก  จึงทำให้เงินอินโดนีเซียไหลกลับประเทศอย่างมโหฬาร สร้างความสั่นสะเทือนแก่สิงคโปร์พอสมควรทีเดียว

            ที่ผ่านมามีต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์กันมากจนกระทั่งรัฐบาลต้องออกกฎหมายว่า ชาวต่างชาติที่มาซื้อ จะต้องเสียภาษี 10%  ในทำนองเดียวกับที่คนไทยส่งลูกไปเรียนในออสเตรเลีย ก็ต้องเสียค่าเทอมแพงกว่าเด็กท้องถิ่นเพราะเราไม่เคยเสียภาษีให้เขานั่นเอง  แต่ที่ผ่านมาก็ยังมีกระแสซื้ออสังหาริมทรัพย์ถาโถมเข้าสิงคโปร์อย่างไม่ขาดสาย จนรัฐบาลสิงคโปร์ต้องยกระดับการเก็บภาษีต่างชาติขึ้นเป็น 15%

            กรณีนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสิงคโปร์เห็นว่านักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ ๆ "ไม่ใช่พ่อ" ของตน  จึงไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบริษัทพัฒนาที่ดิน  แต่มุ่งไปที่ผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ  มุ่งเก็บภาษีมาบำรุงประเทศมากกว่าจะเห็นแก่นักธุรกิจนั่นเอง  อย่างไรก็ตามด้วยภาวะชะลอตัวแบบนี้  มีโอกาสที่ในปี 2560 จะมีการลดทอนหรือไม่ก็ยกเลิกภาษีที่เก็บกับชาวต่างชาติ  เพื่อกระตุ้นให้ต่างชาติกลับมาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกครั้งหนึ่ง

            สิงคโปร์ยังไม่กลัวต่างชาติเพราะมี "ไม้เด็ด" อีกอย่างหนึ่งก็คือมีการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  แต่สำหรับประเทศไทย  ผู้มีอำนาจทั้งหลาย (คงไม่ใช่นักการเมืองแล้วในขณะนี้) คงไม่ต้องการเสียภาษีนี้มาบำรุงประเทศ จึงกำหนดให้เก็บภาษีนี้สำหรับบ้านที่มีราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเสมือน "Joke" ที่น่าขมขื่นเพราะการเห็นแก่ประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ของชาติ

            การเห็นแก่ประโยชน์ของชาติมากกว่าประโยชน์ตนและพวกพ้อง จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าทำไมสิงคโปร์จึงเจริญกว่าไทย

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
doctorsopon's profile


โพสท์โดย: doctorsopon
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
36 VOTES (4/5 จาก 9 คน)
VOTED: Un Tittle, ♥.เจ้าชายกบ.♥ , กบขึ้นวอ, fujita, โยนี หมีระบม
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทำไมบ้านคนญี่ปุ่นแขวนธงปลาคาร์ฟทำไมจู่ๆ lกย์ 700 คนถึงพร้อมใจกัน "ฟ้องร้องแอป Grindr"สาวแทบช็อก! เจอค่าไฟสุดโหด..เดือนเดียวพุ่ง 77 ล้านบาท
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
พลังมหัศจรรย์ของ "เกลือ" เปลี่ยนการซักผ้าให้สะอาดง่ายเขมรมาเหนือเมฆ เรียกประชาชนที่อยู่รอบนครวัดมาให้ทำการปรับปรุงบ้านใหม่ ให้เน้นรูปทรงบ้านให้เป็นทรงโบราณ นักท่องเที่ยวมาเที่ยวจะได้ฟินๆยังจำ " คลิปแรก " ของโลกบน YouTube กันได้ไหม
กระทู้อื่นๆในบอร์ด บ้าน คอนโด ที่ดิน
ห้องชุดราคาแพงที่สุดในประเทศไทยไอเดียแต่งสวนข้างบ้านรู้จักกับ บ้านดิน คืออะไร?8 เทคนิคเลือกบ้าน ช่วยให้อยู่แล้วไม่ร้อน
ตั้งกระทู้ใหม่