อลัน มัวร์ ขบถแห่งการ์ตูน
“สิ่งที่ผมคิดก็คือได้ก็คือ จากนี้ไปซุปเปอร์ฮีโร่จะต้องอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีเลือดเนื้อไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา”
.
อลัน มัวร์ นักเขียนการ์ตูนชาวอังกฤษผู้สรรสร้างผลงานมาสเตอร์พีชอย่าง ว้อชเมน ขึ้นมากล่าวถึงแนวคิดหลักที่ทำให้เขียนคอมมิคเรื่องนี้ขึ้นภายหลังย้ายมาทำงานกับ DC Comic ซึ่งตัวเขาเริ่มจากการรีบู้ทให้อมนุษย์อย่าง Swamp Thing ที่ปกติแล้วไม่มีใครอยากอ่านกลายเป็นหนึ่งในการ์ตูนดังของค่าย ก่อนจะต่อยอดมาสู่คอมมิคซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้
.
“แน่ล่ะนอกจากเป็นมนุษย์ธรรมดา เราต้องสร้างเอกลักษณ์ตัวละครให้คนจดจำ เราจะต้องทำให้คนอ่านแล้วรู้สึกช็อคที่สุดและเร้าใจที่สุด”
.
มัวร์กล่าวถึงการสร่างตัวละครขวัญใจคนอ่าน รอร์สแชช ด็อกเตอร์ แมนฮัตตัน หรือกระทั่งไนท์โอวล์ออกมาและกลายเป็นหนึ่งในการ์ตูนที่ดีที่สุดในโลกเรื่องหนึ่งตั้งแต่มีการเขียนมา
.
มัวร์เริ่มต้นทำงานให้กับ Marvel Comic ในอังกฤษด้วยความชื่นชอบการ์ตูนอเมริกาจึงเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ ทว่า เขากลับมีปัญหาด้านความคิดสร้างสรรค์กับมาร์เวล เขาจึงตัดสินใจย้ายไปทำงานกับ DC แทน และแน่นอนว่า ว้อชเมนคือ งานมาสเตอร์พีชที่สุดเรื่องหนึ่งของเขา
.
ความสำเร็จของมันมหาศาลอย่างมากเมื่อหนังสือคอมมิคเล่มนี้เป็นคอมมิคเรื่องเดียวที่อยู่ใน 100 อันดับขายดีของนิตยสารไทมส์ทั้งชุด 12 เล่ม นับว่า เป็นการ์ตูนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในฐานะหนังสือที่ไม่ใช่ให้เด็กอ่าน แต่ทุกคนควรจะอ่าน
.
ว้อชเม่นนั้นเป็นงานที่พาเราไปตั้งคำถามกับฮีโร่ มันไม่ใช่เรื่องผู้ร้ายกับพระเอก พวกเขาถูกตั้งคำถามว่า มีความชอบธรรมในการปราบเหล่าร้ายเหรอ นั่นคือ ศาลเตี้ยใช่ไหม รวมทั้งการแสดงให้เห็นว่า ฮีโร่พวกนี้มันขี้เหม็นไม่ต่างกับเรา ๆ ท่าน ๆ ที่มีความผิดชอบชั่วดี รักโลภโกรธหลง ไม่ใช่เทพเจ้าแบบที่เราเชื่อถือว่าดีบริสุทธิ์
.
แบบเดียวกับที่แฟรงค์ มิลเลอร์ นักเขียนการ์ตูนอีกคนที่สร้าง The Dark Knight Return ขึ้นมาเพื่อฉีกหน้ากากของคนดีทั้งหลายอย่างแบ็ทแมนหรือซุปเปอร์แมนจนพัง ตัวอลันมัวร์ก็สร้างหนังสือการ์ตูนแบ็ทแมนอย่าง The Killing Joke ขึ้นมาจนกลายเป็นหนึ่งในงานที่ดังที่สุดอีกเรื่องของแบ็ทแมน ที่ทำให้โจ๊กเกอร์ดูโฉดชั่วอย่างที่สุดจนกลายเป็นต้นแบบให้ฮีธ เลดเจอร์ในหนัง The Dark Knight ของคริสโตเฟอร์ โนแลน
.
ทว่าความสำเร็จของเขากลับแลกมาด้วยความผิดใจกับ DC แทน
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายพากันมองว่า งานของมัวร์และมิลเลอร์นั้นไม่เหมาะกับเยาวชนและให้แบ่งเรตการ์ตูนตามคนอ่านทำให้มัวร์หัวเสียอย่างมากแล้วพูดมาว่า
.
“เด็ก ๆ ควรจะได้รู้โลกนี้ในมุมมองที่เป็นจริงบ้าง ไม่ใช่โลกสวยในความฝันอย่างเดียว”
.
เรื่องนี้ทำให้ดีซีกับมัวร์ทะเลาะกันแหลก จนงานเขียนของเขาถูกนำไปอยู่ในโหมดผู้ใหญ่แทนนั่นทำให้มัวร์ตัดสินใจลาขาดกับดีซีและจะเอาว้อชเมนไปจากดีซีแทน
.
ทว่าดีซีกลับเล่นแง่ว่า ว้อนเม้นท์นั้นดีซียังไม่หยุดตีพิมพ์ตามกฎหมายอเมริกาบอกว่า ตราบใดที่สำนักพิมพ์ไม่หยุดพิมพ์ เขาก็ไม่ได้คืน นั่นทำให้เขาโกรธมากจึงตัดสินใจออกจากดีซีมาในที่สุด
.
แต่ที่ทำให้เขาควันออกหูอีกรอบคือ การที่หนังที่สร้างการ์ตูนของเขาอย่าง The League of Extraordinary Gentlemen ถูกนำไปดัดแปลง ซึ่งล้มเหลวในตารางทำเงินไม่พอ ยังถูกคนวิจารณ์ว่า เขาลอกเรื่องอื่นมาทั้งที่เอาจริงแล้วหนังสือนี้เอามาจากตัวละครที่ไม่มีลิขสิทธิ์แล้วไปทำอะไรก็ได้แล้วด้วยซ้ำ นั่นทำให้ตัวของมัวร์โมโหและเบื่อหน่ายวงการหนังไปด้วย
.
ดังนั้นไม่ว่าผลงานการ์ตูนของเขาจะเป็นหนังเช่น V for Vendetta หรือ Watchmen เขาจะไม่มีส่วนร่วมทั้งสิ้น แต่จะโอนเงินให้กับคนวาดภาพให้แทน เพราะเขาไม่อยากยุ่งกับวงการนี้อีกแล้ว
.
“เมื่อฮอลลีวู้ดหมดไอเดีย เขาพยายามพุ่งเป้ามาที่งานเขียน หยิบไปยำ ๆ แล้วก็ป้อนใส่ปากเราราวกับเป็นพวกง่อยเปลี้ยคิดเองไม่ได้ ผมว่า สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นก็มองเราเป็นเพียงลูกนกที่รออ้าปากรอหนอน แล้วเขาก็จะบินมาสำรอกหนอนให้เราก็เท่านั้น”
.
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ หนังเรื่อง watchmen กลายเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และทำให้ยอดขายการ์ตูนของดีซีเรื่องนี้และชื่อของอลัน มัวร์ ได้รับความสนใจอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังเซย์โน ไม่กลับมาทำงานกับฮอลลีวู้ดหรือ สนพ ใหญ่อีก
.
“เงินและชื่อเสียงอาจสร้างการยอมรับในสังคมก็จริง แต่มันไม่อาจจะสร้างจินตนาการของมนุษย์ได้ ซึ่งผมเลือกจะหล่อเลี้ยงความคิดตัวเองเอาไว้มากกว่า และเมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิตคุณเองก็ต้องเลือกว่า คุณก็ต้องเลือกว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อเงิน หรือทุ่มเทให้ความฝัน”
.
มัวร์กล่าวทิ้งท้าย